บราซิล ประเทศที่เจอวิกฤติ แต่ธุรกิจธนาคารรุ่งเรือง
17 พ.ค. 2021
บราซิล ประเทศที่เจอวิกฤติ แต่ธุรกิจธนาคารรุ่งเรือง / โดย ลงทุนแมน
ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ มักจะสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจในทิศทางเดียวกัน
เพราะความต้องการใช้เงิน หรือความสามารถในการจ่ายคืนหนี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ก็ล้วนเป็นผลพวงจากมุมมองต่อเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศบราซิล กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น..
เพราะความต้องการใช้เงิน หรือความสามารถในการจ่ายคืนหนี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ก็ล้วนเป็นผลพวงจากมุมมองต่อเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศบราซิล กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น..
เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว ธนาคารพาณิชย์ในบราซิล กลับทำกำไรให้เติบโตขึ้นและยังสามารถคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับสูงได้ โดยสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกที่ราว 52% ต่อปี
แล้วอะไรที่เป็นสาเหตุให้ธนาคารในบราซิล
มีผลประกอบการที่สวนทางกับทิศทางของเศรษฐกิจ
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
มีผลประกอบการที่สวนทางกับทิศทางของเศรษฐกิจ
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจหดตัว หรืออัตราการเติบโตของ GDP ติดลบ
อัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ในระดับต่ำ และบางครั้งถึงขั้นติดลบ หรือที่เรียกว่า “ภาวะเงินฝืด”
จึงทำให้ธนาคารกลางต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
อัตราเงินเฟ้อมักจะอยู่ในระดับต่ำ และบางครั้งถึงขั้นติดลบ หรือที่เรียกว่า “ภาวะเงินฝืด”
จึงทำให้ธนาคารกลางต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
ซึ่งภาวะแบบนี้ แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อธนาคารพาณิชย์
เพราะว่ารายได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการเรียกเก็บดอกเบี้ย อย่างเช่นจากเงินกู้และบัตรเครดิต
เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารพาณิชย์จึงต้องปรับลดดอกเบี้ยตาม
เลยทำให้รายได้จากดอกเบี้ยลดลงไปด้วย
เพราะว่ารายได้ส่วนหนึ่งก็มาจากการเรียกเก็บดอกเบี้ย อย่างเช่นจากเงินกู้และบัตรเครดิต
เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ธนาคารพาณิชย์จึงต้องปรับลดดอกเบี้ยตาม
เลยทำให้รายได้จากดอกเบี้ยลดลงไปด้วย
และเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี โอกาสที่ลูกค้าจะเลื่อนการจ่ายหนี้คืน หรือไม่จ่ายหนี้เลย ก็มีสูงขึ้น
สิ่งที่ธนาคารต้องทำก็คือ แบ่งเงินจากรายได้ออกมามากขึ้น
เพื่อกันไว้เป็นเงินสำรองหากมีการผิดนัดชำระหนี้
สิ่งที่ธนาคารต้องทำก็คือ แบ่งเงินจากรายได้ออกมามากขึ้น
เพื่อกันไว้เป็นเงินสำรองหากมีการผิดนัดชำระหนี้
ซึ่ง 2 ปัจจัยหลักนี้ ต่างส่งผลให้กำไรของธนาคารพาณิชย์ลดลง
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2020 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากโควิด 19 ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัว
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2020 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากโควิด 19 ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัว
GDP หดตัว -6.1%
อัตราเงินเฟ้อ -0.8%
จึงทำให้กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ลดลง -46.0%
อัตราเงินเฟ้อ -0.8%
จึงทำให้กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ลดลง -46.0%
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศบราซิล กลับตรงกันข้าม
อย่างในปี 2015 ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลติดลบ
GDP หดตัว -3.6%
อัตราเงินเฟ้อ +9.0%
กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เติบโต +25.5%
อย่างในปี 2015 ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิลติดลบ
GDP หดตัว -3.6%
อัตราเงินเฟ้อ +9.0%
กำไรสุทธิกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เติบโต +25.5%
โดยในปี 2014 ถึง 2018 เศรษฐกิจของบราซิลหดตัวเฉลี่ย -0.4%
แต่ในช่วงเดียวกันนี้ กำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลับเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.0%
แล้วอะไรที่ทำให้ธนาคารยังคงเติบโตได้อย่างโดดเด่น ?
แต่ในช่วงเดียวกันนี้ กำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลับเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.0%
แล้วอะไรที่ทำให้ธนาคารยังคงเติบโตได้อย่างโดดเด่น ?
ปัจจัยอย่างแรกก็คือ ประเทศบราซิลเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “Stagflation”
หรือคือช่วงที่อัตราการเติบโตของ GDP ติดลบ
แต่อัตราเงินเฟ้อ กลับพุ่งสูงขึ้น
ซึ่งเป็นภาวะทางเศรษฐกิจที่เจอได้ไม่บ่อยนัก
แต่อัตราเงินเฟ้อ กลับพุ่งสูงขึ้น
ซึ่งเป็นภาวะทางเศรษฐกิจที่เจอได้ไม่บ่อยนัก
สาเหตุสำคัญก็มาจากการที่รัฐบาลบราซิล ทุ่มเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2011
และยังก่อหนี้มหาศาลกับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกและโอลิมปิกเกมส์ ในปี 2014 และ 2016
แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
และยังก่อหนี้มหาศาลกับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกและโอลิมปิกเกมส์ ในปี 2014 และ 2016
แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้
สุดท้ายแล้วเม็ดเงินที่ใช้ไป กลับทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจาก 6.2% ในปี 2013 ไปสูงสุดที่ 9.0% ในปี 2015 และทรงตัวอยู่ที่ 8.7% ในปี 2016
ในขณะที่ GDP พลิกจากการเติบโต 3.0% ในปี 2013 มาเป็นหดตัวเฉลี่ยปีละ -3.4% ในปี 2015 และ 2016
นั่นเท่ากับว่า ประเทศบราซิลต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation ถึง 2 ปีติดต่อกัน
นั่นเท่ากับว่า ประเทศบราซิลต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation ถึง 2 ปีติดต่อกัน
กลายเป็นว่าในยามเศรษฐกิจย่ำแย่ แต่อัตราเงินเฟ้อสูง
แทนที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เหมือนช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวแบบทั่วไป
ธนาคารกลางกลับต้องเลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 10.00% ในปี 2013 ไปสูงสุดที่ 14.25% ในปี 2015
แทนที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เหมือนช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวแบบทั่วไป
ธนาคารกลางกลับต้องเลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 10.00% ในปี 2013 ไปสูงสุดที่ 14.25% ในปี 2015
ซึ่งดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนี้ แม้จะยิ่งไปซ้ำเติมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง
แต่ธนาคารพาณิชย์กลับได้ประโยชน์จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
และเพิ่มขึ้นในระดับที่ชดเชยผลกระทบด้านลบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีได้
ทำให้สุดท้ายแล้ว ธนาคารพาณิชย์ในบราซิลยังทำกำไรให้เติบโตขึ้นได้
แต่ธนาคารพาณิชย์กลับได้ประโยชน์จากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
และเพิ่มขึ้นในระดับที่ชดเชยผลกระทบด้านลบจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีได้
ทำให้สุดท้ายแล้ว ธนาคารพาณิชย์ในบราซิลยังทำกำไรให้เติบโตขึ้นได้
แต่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางวิกฤติ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
เพราะยังมีอีกสาเหตุที่สำคัญ นั่นก็คือ “อำนาจต่อรองของธนาคารพาณิชย์”
ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและคิดค่าธรรมเนียมในระดับที่สูงมาก
เพราะยังมีอีกสาเหตุที่สำคัญ นั่นก็คือ “อำนาจต่อรองของธนาคารพาณิชย์”
ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและคิดค่าธรรมเนียมในระดับที่สูงมาก
ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่อุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์
ถูกผูกขาดโดยธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก
โดยธนาคารเหล่านี้มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรวมกันถึง 86% ของสินเชื่อทั้งหมดในประเทศ
ถูกผูกขาดโดยธนาคารที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก
โดยธนาคารเหล่านี้มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อรวมกันถึง 86% ของสินเชื่อทั้งหมดในประเทศ
และเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจาก “Real Plan” ในปี 1994 ซึ่งเป็นแผนเพื่อฟื้นฟูประเทศ
หลังจากเผชิญกับวิกฤติน้ำมันและเงินเฟ้อที่รุนแรง ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
หลังจากเผชิญกับวิกฤติน้ำมันและเงินเฟ้อที่รุนแรง ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
โดยในตอนนั้น ภาครัฐได้เข้าแทรกแซงเพื่อปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์
และช่วยเหลือบางธนาคารไม่ให้ล้มละลาย จึงมีการควบรวมกิจการกันอย่างต่อเนื่อง
จนเหลือเป็น 5 ธนาคารยักษ์ใหญ่แบบในปัจจุบัน
และช่วยเหลือบางธนาคารไม่ให้ล้มละลาย จึงมีการควบรวมกิจการกันอย่างต่อเนื่อง
จนเหลือเป็น 5 ธนาคารยักษ์ใหญ่แบบในปัจจุบัน
แล้วดอกเบี้ย ที่ว่าสูงนั้น สูงขนาดไหน ?
เรามาดูอัตราดอกเบี้ยในประเทศบราซิลกัน
ดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อบริษัทเอกชนเฉลี่ย 21%
ดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเฉลี่ย 46%
ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเฉลี่ย 350%
ดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเฉลี่ย 46%
ดอกเบี้ยบัตรเครดิตเฉลี่ย 350%
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ 9% เท่านั้น
นั่นหมายความว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากโดยเฉลี่ย จึงสูงกว่า 30%
ซึ่งเกือบจะสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว..
นั่นหมายความว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากโดยเฉลี่ย จึงสูงกว่า 30%
ซึ่งเกือบจะสูงที่สุดในโลกเลยทีเดียว..
นี่จึงส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ในบราซิล มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงมาก
เมื่อเทียบกับทั่วโลก ที่เผชิญกับดอกเบี้ยต่ำใกล้ระดับ 0% มานาน หลังจากวิกฤติการเงินโลก
เมื่อเทียบกับทั่วโลก ที่เผชิญกับดอกเบี้ยต่ำใกล้ระดับ 0% มานาน หลังจากวิกฤติการเงินโลก
โดยธนาคารพาณิชย์ในบราซิล ความสามารถในการทำกำไรจากดอกเบี้ย หรือ NIM
อยู่ที่ประมาณ 6% มากกว่าธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาและไทยถึง 1 เท่าตัว
อยู่ที่ประมาณ 6% มากกว่าธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาและไทยถึง 1 เท่าตัว
และมีความสามารถในการทำกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ ROE สูงถึง 16%
สูงกว่าทั้งธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาและไทย ที่ทำได้ไม่เกิน 10% ในปัจจุบัน
สูงกว่าทั้งธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาและไทย ที่ทำได้ไม่เกิน 10% ในปัจจุบัน
ซึ่งความสามารถในการทำกำไรนี้ แม้จะยังอยู่ในระดับที่สูง
แต่ก็ถือว่าเริ่มลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต เพราะหลายฝ่ายในประเทศต่างก็เล็งเห็นถึงปัญหาว่า อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมนั้นสูงเกินไป
แต่ก็ถือว่าเริ่มลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต เพราะหลายฝ่ายในประเทศต่างก็เล็งเห็นถึงปัญหาว่า อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมนั้นสูงเกินไป
ทำให้ตอนนี้ ธนาคารพาณิชย์ในบราซิล กำลังเจอความท้าทาย
ทั้งเรื่องที่ธนาคารกลางบราซิลเริ่มออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
รวมถึงผลกระทบจากโควิด 19 ที่ได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อ ลดลงมาเหลือ 3.2%
ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถปรับลงมาอยู่ที่ 3.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลงมาต่ำระดับนี้ จะเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากวิกฤติโควิด 19 หรือจะกลายเป็นความปกติแบบใหม่ ให้ธนาคารพาณิชย์ในบราซิลต้องปรับตัวแบบถาวรกันแน่
ทั้งเรื่องที่ธนาคารกลางบราซิลเริ่มออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
รวมถึงผลกระทบจากโควิด 19 ที่ได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อ ลดลงมาเหลือ 3.2%
ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสามารถปรับลงมาอยู่ที่ 3.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลงมาต่ำระดับนี้ จะเป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากวิกฤติโควิด 19 หรือจะกลายเป็นความปกติแบบใหม่ ให้ธนาคารพาณิชย์ในบราซิลต้องปรับตัวแบบถาวรกันแน่
แต่ถ้าถามว่าความท้าทายที่สำคัญที่สุด
ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศบราซิล คืออะไร ?
ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศบราซิล คืออะไร ?
คำตอบก็คือ การเข้ามาแข่งขันของธนาคารดิจิทัล
ที่มีต้นทุนต่ำกว่าจากการไม่ต้องมีหน้าสาขา
จึงสามารถคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมถูกกว่า
หนึ่งในนั้นก็คือสตาร์ตอัปที่ก่อตั้งขึ้นมาเพียง 8 ปีชื่อว่า Nubank
ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวบราซิลไปแล้วกว่า 34 ล้านคน
คิดเป็น 1 ใน 6 ของประชากรทั้งประเทศ
และกำลังแย่งชิงลูกค้าจากธนาคารแบบดั้งเดิมไปเรื่อย ๆ..
ที่มีต้นทุนต่ำกว่าจากการไม่ต้องมีหน้าสาขา
จึงสามารถคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมถูกกว่า
หนึ่งในนั้นก็คือสตาร์ตอัปที่ก่อตั้งขึ้นมาเพียง 8 ปีชื่อว่า Nubank
ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวบราซิลไปแล้วกว่า 34 ล้านคน
คิดเป็น 1 ใน 6 ของประชากรทั้งประเทศ
และกำลังแย่งชิงลูกค้าจากธนาคารแบบดั้งเดิมไปเรื่อย ๆ..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
คุณ Joseph Safra ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศบราซิลมาอย่างยาวนาน
และความมั่งคั่งนี้ ก็มาจากอาณาจักรธุรกิจของเขา ที่ชื่อว่า Safra Group
ซึ่งดำเนินธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Banco Safra ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีทรัพย์สินมากสุดอันดับ 6 ของบราซิลนั่นเอง..
คุณ Joseph Safra ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศบราซิลมาอย่างยาวนาน
และความมั่งคั่งนี้ ก็มาจากอาณาจักรธุรกิจของเขา ที่ชื่อว่า Safra Group
ซึ่งดำเนินธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน โดยเป็นเจ้าของธนาคาร Banco Safra ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีทรัพย์สินมากสุดอันดับ 6 ของบราซิลนั่นเอง..
References
-https://www.economist.com/finance-and-economics/2016/04/09/defying-gravity
-https://www.economist.com/the-americas/2018/08/02/brazils-banks-profitable-whatever-the-economic-weather
-https://www.ft.com/content/40961d14-f493-422c-9eb6-4d9949716301
-https://www.ft.com/content/78058d7c-7c90-11e7-9108-edda0bcbc928
-https://www.bis.org/publ/plcy06b.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=BR
-https://data.worldbank.org/indicator/FR.INR.LEND
-https://data.worldbank.org/indicator/FP.CPI.TOTL.ZG?locations=BR
-https://fred.stlouisfed.org/series/IRSTCI01BRM156N
-https://www.bot.or.th/English/PressandSpeeches/Press/2021/Pages/n1064.aspx
-https://www.economist.com/finance-and-economics/2016/04/09/defying-gravity
-https://www.economist.com/the-americas/2018/08/02/brazils-banks-profitable-whatever-the-economic-weather
-https://www.ft.com/content/40961d14-f493-422c-9eb6-4d9949716301
-https://www.ft.com/content/78058d7c-7c90-11e7-9108-edda0bcbc928
-https://www.bis.org/publ/plcy06b.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=BR
-https://data.worldbank.org/indicator/FR.INR.LEND
-https://data.worldbank.org/indicator/FP.CPI.TOTL.ZG?locations=BR
-https://fred.stlouisfed.org/series/IRSTCI01BRM156N
-https://www.bot.or.th/English/PressandSpeeches/Press/2021/Pages/n1064.aspx