ถ้ายุ่งกับงานประจำ เราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร ?

ถ้ายุ่งกับงานประจำ เราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร ?

24 พ.ค. 2021
ถ้ายุ่งกับงานประจำ เราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างไร ? | THE BRIEFCASE
การเรียนรู้ของแต่ละคนนั้น ไม่ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่เราสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย
เพราะหลังจากที่เราจบการศึกษานั้น เปรียบเสมือนกับการที่ลูกนกจะต้องออกจากรังแล้วไปสร้างรังใหม่เป็นของตัวเอง ซึ่งก็เหมือนการออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตอีกสเต็ปหนึ่ง
ชีวิตหลังจากจบการศึกษา คือชีวิตที่มีอะไรให้เราลองเรียนรู้มากมายเต็มไปหมด
ซึ่งถ้าเราอยากจะเป็นหนึ่งในคนที่ตามทันการหมุนของโลกที่ไม่เคยจะรอใคร
สิ่งที่เราควรทำก็คือการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้เราเป็นคนที่เก่งยิ่งขึ้น
ถ้าเต่ายังสามารถเอาชนะกระต่ายได้ เพราะความพยายาม ไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมหยุดอยู่กับที่
คนเราก็เช่นกัน คนที่มีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ก็จะสามารถตามทันโลก และคว้าโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้ และก็จะประสบความสำเร็จในที่สุด
ทุกศาสตร์ความรู้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ด้วยความที่โลกของเรามีการเปิดเสรีกันมากขึ้น
เราจึงมีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่เราสนใจมากยิ่งขึ้น
ถ้าเรารู้ตัวเราเองแล้วว่า เราอยากพัฒนาตัวเราในด้านไหน หรืออยากเป็นคนเก่งในด้านอะไร
ต่อให้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยศึกษามาก่อน
สิ่งแรกที่ควรจะทำเลยก็คือ เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่นั้น
โดยการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ว่านี้อาจจะเป็นการอ่านหนังสือ การเรียนคอร์สออนไลน์ หรือจะเป็นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำบางสิ่งบางอย่าง
เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่เคยที่จะหยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
ต่อให้พวกเขาจะสำเร็จการศึกษาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
อย่างที่ Warren Buffett เคยกล่าวไว้ว่า “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดก็คือ การลงทุนในความรู้”
เพราะผลตอบแทนที่เราจะได้กลับมาก็คือ โอกาสที่เราจะคว้าไว้ได้จากการที่เราได้ใช้ความรู้ของเรานั่นเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีความรู้เรื่องการลงทุน
เราก็จะสามารถใช้ความรู้ตรงนี้จับจังหวะของตลาดในการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
แต่ทว่าชีวิตหลังจากสำเร็จการศึกษาก็คือชีวิตการทำงานที่เราจะต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับเรื่องวุ่น ๆ ที่เราจะต้องรับผิดชอบเต็มไปหมด
แล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เหล่านั้น ?
แล้วเราควรจะทำอย่างไร เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ถึงแม้ว่าเรากำลังยุ่งอยู่กับงานประจำ ?
1. ปรับเปลี่ยน Mindset หรือกรอบความคิด
คนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่ยังไม่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
มีบางอย่างที่คล้ายกันก็คือ Mindset ของพวกเขา
เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะชอบอ้างว่า “ไม่มีเวลา”
แต่ทำไมคนบางคนสามารถประสบความสำเร็จในทางเดินของเขาได้
ทั้ง ๆ ที่เขาก็เริ่มต้นมาจากจุดเดียวกับเรา
นั่นเป็นเพราะว่า เขามี Mindset ที่ถูกต้อง
คนที่มี Mindset ที่ถูกต้อง หรือ Growth Mindset จะไม่หาข้ออ้างเพื่อให้ตัวเขาเองนั้นหยุดเดิน
ต่อให้พวกเขาจะเหนื่อยหรือยุ่งจากการทำงานประจำมากแค่ไหน
พวกเขาก็จะหาเวลาว่างและหาทางพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งการเรียนรู้สิ่งที่เขาไม่รู้นี่เอง ที่จะทำให้เขามีการพัฒนามากขึ้น
2. แบ่งเวลาให้กับการเรียนรู้เสมอ
ในเมื่อเราปรับเปลี่ยน Mindset ของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงขั้นตอนของการหาเวลาว่าง
จริง ๆ แล้ว เราทุกคนมีเวลาว่างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลังเลิกงานในวันธรรมดา
หรือจะเป็นเวลาในวันหยุดอย่างวันเสาร์และวันอาทิตย์
ซึ่งคนที่ใช้เวลาว่างในช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์ อย่างการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ก็จะทำให้ชีวิตของพวกเขามีการพัฒนามากยิ่งขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีเวลาไม่เพียงพอนั้น เป็นเพราะว่าเราอาจจะมัวเสียเวลาไปกับกิจกรรมที่ไม่ได้ก่อประโยชน์กับเรา อย่างเช่น การไถโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเรื่องราวของคนที่ประสบความสำเร็จ หรือการมัวแต่จมปลักอยู่กับอดีต
พอเราเสียเวลาไปกับการทำกิจกรรมที่ไม่ได้ก่อประโยชน์เหล่านั้นต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อเรารู้ตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอนของเราแล้ว
ดังนั้น ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในด้านไหนจริง ๆ แล้วละก็ เราก็ต้องให้เวลาไปกับการศึกษาสิ่งนั้น
ซึ่งเราเริ่มต้นง่าย ๆ โดยการแบ่งเวลาให้กับการเรียนรู้วันละเล็กวันละน้อย
อาจจะเป็นวันละ 1 ชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมงก็เป็นได้ เมื่อเวลาที่เล็กน้อยเหล่านี้สะสมไปเรื่อย ๆ ในหลายวัน
ก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเราได้
หรือวันไหนที่เรามีไฟ ก็อาจจะให้เวลากับการเรียนรู้นั้นมากขึ้นอีกหน่อยก็เป็นได้
สิ่งที่สำคัญก็คือ ความสม่ำเสมอของการเรียนรู้นั่นเอง
3. ให้รางวัลตัวเอง
แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องผิดเลยที่เราจะทำกิจกรรมบันเทิงอย่างการดูซีรีส์ เล่นเกม หรืออื่น ๆ อีกมากมายนั้น
เพราะกิจกรรมเหล่านี้มีไว้เพื่อผ่อนคลายตัวเราจากการทำงานที่ดูดพลังของเรา
แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเราให้การทำกิจกรรมบันเทิงเหล่านี้เป็นรางวัลสำหรับตัวเราเอง
เช่น ให้เราตั้งเงื่อนไขกับตัวเองไว้ว่า ถ้าเราเรียนคอร์สออนไลน์เป็นเวลา 1 ชั่วโมง หรืออ่านหนังสือจบ 2 บทแล้ว เราถึงจะสามารถดูซีรีส์ หรือเล่นเกมได้
อย่างไรเราทุกคนย่อมต้องการที่จะทำกิจกรรมพวกนั้นอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรที่จะหักดิบตัวเราเองโดยไม่ให้ทำกิจกรรมเหล่านั้น เพราะจะทำให้เราไม่มีความสุข
ดังนั้นการให้รางวัลตัวเราเอง จึงเปรียบเสมือนเป็นสถานการณ์ที่ Win-Win ทั้งคู่
เพราะนอกเหนือจากที่เราจะได้พัฒนาตัวเราเองแล้ว เราก็ยังได้ทำกิจกรรมที่อยากทำอีกด้วย
4. นึกถึงภาพความสำเร็จของเราในอนาคต
ประโยคที่ว่า “You are what you eat” ก็คือการที่เรากินอะไรเข้าไปในร่างกาย เราก็จะมีสุขภาพอย่างนั้น
เช่นกัน ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ ก็ให้เรานึกถึงประโยค “You are what you read”
ซึ่งหมายถึง เราจะมีชีวิตแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับหนังสือที่เราอ่าน หรือการพัฒนาตัวเองในรูปแบบอื่น ๆ
ดังนั้น ถ้าเราอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากไปให้ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้ ไม่ว่าจะเป็นการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน การซื้อบ้านสักหลังให้กับพ่อแม่ หรือการได้ไปเที่ยวในต่างประเทศ
ชีวิตก็เปรียบเสมือนเป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ ที่เราต้องการจะไปยังจุดหมายปลายทางของเรา
แน่นอนว่า รถยนต์ของเราจะไม่มีทางไปถึงจุดหมายได้เลย ถ้ารถยนต์ของเรามีน้ำมันไม่เพียงพอ
ซึ่งน้ำมันในที่นี้หมายถึง ความรู้ของเรานั่นเอง และความรู้พวกนี้ก็หาได้จากการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา
ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า เราอยากมีชีวิตแบบไหน
เราต้องการที่จะใช้ชีวิตวนลูปอย่างการ ตื่นเช้า เดินทางไปทำงาน ทำงาน กลับมายังที่พัก และเข้านอน
แบบนี้จริง ๆ
หรือเราต้องการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเรา
อย่างการย้ายงาน ทำธุรกิจหรือเปิดบริษัทของเราเอง ได้กำไรจากการซื้อขายหุ้น หรืออื่น ๆ อีกมากมาย
แต่เราจะสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ได้อัปเดตทัศนคติตัวเราเองเสียก่อน
สุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา
เราอยากจะมีชีวิตแบบไหน ก็อยู่ที่ว่าเรา “เลือก” อะไรให้กับตัวเรานั่นเอง..
Reference
-https://www.lifehack.org/905620/motivation-to-study
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.