
กรณีศึกษา การลงทุนที่ผิดพลาด ของ เซอร์ไอแซก นิวตัน
24 ก.ค. 2021
กรณีศึกษา การลงทุนที่ผิดพลาด ของ เซอร์ไอแซก นิวตัน | THE BRIEFCASE
หลาย ๆ คนคงรู้จัก เซอร์ไอแซก นิวตัน ในฐานะนักฟิสิกส์ชื่อดังผู้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลก และผู้ร่วมพัฒนาหลักแคลคูลัส ที่ถือเป็นความรู้สำคัญในวิชาคณิตศาสตร์
แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของการเป็น “นักลงทุน” ต้องบอกว่า เซอร์ไอแซก นิวตัน นั้นไม่ประสบความสำเร็จในด้านนี้เอาเท่าไรเลย
แต่ถ้าพูดถึงในแง่ของการเป็น “นักลงทุน” ต้องบอกว่า เซอร์ไอแซก นิวตัน นั้นไม่ประสบความสำเร็จในด้านนี้เอาเท่าไรเลย
ทำไม เซอร์ไอแซก นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ถึงเป็นนักลงทุนที่ล้มเหลว วันนี้เราจะไปหาคำตอบกัน..
ถ้าถามว่า หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในช่วงศตวรรษที่ 17 ต้องมีชื่อของเซอร์ไอแซก นิวตัน รวมอยู่ด้วย
โดยนิวตันนั้น เกิดในปี 1642 ที่ประเทศอังกฤษ
ในวัยเด็กนิวตัน เข้าเรียนที่ The King's School เมือง Grantham
ด้วยผลการเรียนที่ดี ทำให้ต่อมาเขาได้เข้าไปเรียนที่ Trinity College ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งการเข้ามาเรียนที่นี่ ทำให้ในเวลาต่อมาเขาสามารถต่อยอดความรู้ที่มีจนนำไปพัฒนาวิชาแคลคูลัส รวมไปถึงการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลก
เขาได้รับการยกย่องจากนักปราชญ์และสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ของอังกฤษในสมัยนั้นอย่างมาก ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมในยุคนั้น
หลังเรียนจบ นิวตันได้ออกมาทำงาน เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา รวมไปถึงผู้ดูแลโรงผลิตเหรียญกษาปณ์ของรัฐบาลอังกฤษ
ผลจากการทำงาน ทำให้เขาเริ่มมีเงินเก็บ และหนึ่งในที่ที่เขาต้องการนำเงินไปต่อยอด ก็คือตลาดหุ้น ซึ่งตอนนั้นเปรียบเสมือนสถานที่ที่สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้อย่างงดงาม
และหนึ่งในการลงทุนที่สร้างความบอบช้ำให้แก่นิวตันก็คือ การลงทุนในหุ้นของ บริษัท South Sea Company
ในปี 1711 รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งบริษัท South Sea Company ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการทำสงครามกับสเปนในช่วงนั้น
โดยบริษัท South Sea Company จะออกหุ้นมา โดยมีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้สินของรัฐบาลทั้งหมด โดยหุ้นจำนวนดังกล่าว จะนำไปให้แก่เจ้าหนี้เพื่อแลกกับภาระหนี้ที่กู้มา
ถ้าถามว่า หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในช่วงศตวรรษที่ 17 ต้องมีชื่อของเซอร์ไอแซก นิวตัน รวมอยู่ด้วย
โดยนิวตันนั้น เกิดในปี 1642 ที่ประเทศอังกฤษ
ในวัยเด็กนิวตัน เข้าเรียนที่ The King's School เมือง Grantham
ด้วยผลการเรียนที่ดี ทำให้ต่อมาเขาได้เข้าไปเรียนที่ Trinity College ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งการเข้ามาเรียนที่นี่ ทำให้ในเวลาต่อมาเขาสามารถต่อยอดความรู้ที่มีจนนำไปพัฒนาวิชาแคลคูลัส รวมไปถึงการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลก
เขาได้รับการยกย่องจากนักปราชญ์และสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ของอังกฤษในสมัยนั้นอย่างมาก ว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมในยุคนั้น
หลังเรียนจบ นิวตันได้ออกมาทำงาน เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา รวมไปถึงผู้ดูแลโรงผลิตเหรียญกษาปณ์ของรัฐบาลอังกฤษ
ผลจากการทำงาน ทำให้เขาเริ่มมีเงินเก็บ และหนึ่งในที่ที่เขาต้องการนำเงินไปต่อยอด ก็คือตลาดหุ้น ซึ่งตอนนั้นเปรียบเสมือนสถานที่ที่สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้อย่างงดงาม
และหนึ่งในการลงทุนที่สร้างความบอบช้ำให้แก่นิวตันก็คือ การลงทุนในหุ้นของ บริษัท South Sea Company
ในปี 1711 รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งบริษัท South Sea Company ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างการทำสงครามกับสเปนในช่วงนั้น
โดยบริษัท South Sea Company จะออกหุ้นมา โดยมีมูลค่าเท่ากับจำนวนหนี้สินของรัฐบาลทั้งหมด โดยหุ้นจำนวนดังกล่าว จะนำไปให้แก่เจ้าหนี้เพื่อแลกกับภาระหนี้ที่กู้มา
ซึ่งเจ้าหนี้จำนวนมากเห็นด้วยกับแนวทางนี้ เพราะถ้าเขายังถือพันธบัตรต่อไป ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะสามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ไหม ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็คล้าย ๆ กับกระบวนการ การแปลงหนี้เป็นทุนนั่นเอง
โดยรัฐบาลอังกฤษให้ข้อเสนอจูงใจแก่ผู้ที่มาถือหุ้น ด้วยการจ่ายผลตอบแทนหรือเงินปันผลปีละประมาณ 6% หลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ขณะที่ยังมอบสัมปทานผูกขาดในการค้าขายสินค้าภายในอาณานิคมในอเมริกาใต้ ให้แก่ South Sea Company อีกด้วย
แผนการนี้ ทำท่าจะไปได้ดี เพราะรัฐบาลโอนภาระหนี้ไปให้แก่บริษัท South Sea Company ขณะที่ผู้ถือหุ้นก็ได้การันตีเงินปันผลทุกปี และถ้าเกิดบริษัทไปได้ดีก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต
แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจของ South Sea Company นั้นจะไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดไว้แต่แรก
ทั้งนี้เพราะสินค้าที่บริษัทค้าขายนั้นไม่ได้มากมายอย่างที่คิด มีเพียงแค่การค้าทาสเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำกำไรเท่าไร
โดยรัฐบาลอังกฤษให้ข้อเสนอจูงใจแก่ผู้ที่มาถือหุ้น ด้วยการจ่ายผลตอบแทนหรือเงินปันผลปีละประมาณ 6% หลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ขณะที่ยังมอบสัมปทานผูกขาดในการค้าขายสินค้าภายในอาณานิคมในอเมริกาใต้ ให้แก่ South Sea Company อีกด้วย
แผนการนี้ ทำท่าจะไปได้ดี เพราะรัฐบาลโอนภาระหนี้ไปให้แก่บริษัท South Sea Company ขณะที่ผู้ถือหุ้นก็ได้การันตีเงินปันผลทุกปี และถ้าเกิดบริษัทไปได้ดีก็อาจจะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต
แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจของ South Sea Company นั้นจะไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดไว้แต่แรก
ทั้งนี้เพราะสินค้าที่บริษัทค้าขายนั้นไม่ได้มากมายอย่างที่คิด มีเพียงแค่การค้าทาสเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำกำไรเท่าไร
รวมไปถึงผลกระทบจากสงครามที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ ก็ทำให้ธุรกิจของบริษัทนั้นหยุดชะงักด้วย จึงส่งผลให้แท้จริงแล้วผลประกอบการบริษัทแห่งนี้ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นของบริษัท South Sea Company พุ่งสูงขึ้นนั้น เกิดจากการที่บริษัทออกมาโปรโมตว่า “ธุรกิจของบริษัทจะเติบโตพร้อมกับการยังมีตลาดการค้าใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ”
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ราคาหุ้น บริษัท South Sea Company เพิ่มขึ้นจาก 128 ปอนด์ในเดือนมกราคม ปี 1720 พุ่งไปถึง 1,050 ปอนด์ในเดือนกันยายน ปีเดียวกันนี้
การปรับของราคาหุ้น ยิ่งดึงดูดให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนนำเงินเก็บออมทั้งหมดที่มีมาลงทุน บางคนไปกู้ยืมธนาคารเพื่อมาลงทุน
โดยทุกคน ณ เวลานั้นตั้งแต่ชาวนาจนถึงชนชั้นสูงของอังกฤษ ต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ ต้องการรวยจากการซื้อหุ้นตัวนี้ ไม่เว้นแม้แต่นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เซอร์ไอแซก นิวตัน
ที่น่าสนใจคือ จุดที่ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไปจุดสูงสุด ส่งผลให้มูลค่าของบริษัท ณ เวลาหนึ่งนั้น เคยสูงกว่า มูลค่าที่ดินทั้งหมดในอังกฤษรวมกัน ถึง 2 เท่า เลยทีเดียว
แต่ ณ เวลานั้น คนส่วนใหญ่แทบไม่สนใจเรื่องนี้ ในเมื่อทุกคนที่เข้ามาร่วมงานนี้ต่างทำกำไรกันถ้วนหน้า
สำหรับนิวตันเองนั้น ช่วงแรกที่ราคาหุ้นเริ่มปรับขึ้น เขาได้ขายหุ้นทำกำไรไปได้พอสมควร
ก่อนตัดสินใจกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้งหลายเดือนต่อมา ในราคาทุนที่สูงกว่าเดิมมาก และครั้งนี้เขาใส่เงินเกือบทั้งหมดที่เขามี
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนี้ คนจำนวนมากที่ไปกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้น ถึงเวลาต้องจ่ายคืนเงิน แน่นอนว่าก็ต้องขายหุ้นออกมาจ่าย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นของบริษัท South Sea Company พุ่งสูงขึ้นนั้น เกิดจากการที่บริษัทออกมาโปรโมตว่า “ธุรกิจของบริษัทจะเติบโตพร้อมกับการยังมีตลาดการค้าใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ”
เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ราคาหุ้น บริษัท South Sea Company เพิ่มขึ้นจาก 128 ปอนด์ในเดือนมกราคม ปี 1720 พุ่งไปถึง 1,050 ปอนด์ในเดือนกันยายน ปีเดียวกันนี้
การปรับของราคาหุ้น ยิ่งดึงดูดให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนนำเงินเก็บออมทั้งหมดที่มีมาลงทุน บางคนไปกู้ยืมธนาคารเพื่อมาลงทุน
โดยทุกคน ณ เวลานั้นตั้งแต่ชาวนาจนถึงชนชั้นสูงของอังกฤษ ต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ ต้องการรวยจากการซื้อหุ้นตัวนี้ ไม่เว้นแม้แต่นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เซอร์ไอแซก นิวตัน
ที่น่าสนใจคือ จุดที่ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นไปจุดสูงสุด ส่งผลให้มูลค่าของบริษัท ณ เวลาหนึ่งนั้น เคยสูงกว่า มูลค่าที่ดินทั้งหมดในอังกฤษรวมกัน ถึง 2 เท่า เลยทีเดียว
แต่ ณ เวลานั้น คนส่วนใหญ่แทบไม่สนใจเรื่องนี้ ในเมื่อทุกคนที่เข้ามาร่วมงานนี้ต่างทำกำไรกันถ้วนหน้า
สำหรับนิวตันเองนั้น ช่วงแรกที่ราคาหุ้นเริ่มปรับขึ้น เขาได้ขายหุ้นทำกำไรไปได้พอสมควร
ก่อนตัดสินใจกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้งหลายเดือนต่อมา ในราคาทุนที่สูงกว่าเดิมมาก และครั้งนี้เขาใส่เงินเกือบทั้งหมดที่เขามี
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันนี้ คนจำนวนมากที่ไปกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้น ถึงเวลาต้องจ่ายคืนเงิน แน่นอนว่าก็ต้องขายหุ้นออกมาจ่าย
ประกอบกับในช่วงนั้น ยังเกิดวิกฤติฟองสบู่ในยุโรป อย่างวิกฤติ Mississippi ในปี 1720 ที่ประชาชนในฝรั่งเศสขาดความเชื่อมั่นในธนบัตรของฝรั่งเศสที่ถูกพิมพ์ออกมาเกินกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่วางไว้
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลกับการถือหุ้น บริษัท South Sea Company จึงทำให้หลายคนตัดสินใจขายหุ้นออกมา
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลกับการถือหุ้น บริษัท South Sea Company จึงทำให้หลายคนตัดสินใจขายหุ้นออกมา
ทำให้ราคาหุ้นเริ่มดิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือเพียง 100 ปอนด์ ในปีเดียวกันนี้ จนทำให้ฟองสบู่ราคาหุ้นนั้นแตกออก และสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้แก่นักลงทุนจำนวนมาก
แน่นอนว่ารวมถึง เซอร์ไอแซก นิวตัน ที่ขาดทุนจากการลงทุนในครั้งนี้จำนวนกว่า 140 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน ปรับด้วยเงินเฟ้อ)
เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้นิวตัน เคยกล่าวประโยคคลาสสิก ประโยคหนึ่งว่า “ฉันสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ แต่ไม่รวมถึงความบ้าคลั่งของมวลมนุษย์ได้”..
แน่นอนว่ารวมถึง เซอร์ไอแซก นิวตัน ที่ขาดทุนจากการลงทุนในครั้งนี้จำนวนกว่า 140 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน ปรับด้วยเงินเฟ้อ)
เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้นิวตัน เคยกล่าวประโยคคลาสสิก ประโยคหนึ่งว่า “ฉันสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวได้ แต่ไม่รวมถึงความบ้าคลั่งของมวลมนุษย์ได้”..
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Isaac_Newton
https://www.businessinsider.com/isaac-newton-lost-a-fortune-on-englands-hottest-stock-2016-1
-https://www.reuters.com/article/us-england-finance-breakingviews-idUSKBN1YG2NH
-https://www.smithsonianmag.com/smart-news/market-crash-cost-newton-fortune-180961655/
-https://physicstoday.scitation.org/doi/10.1063/PT.3.4521
-https://en.wikipedia.org/wiki/Isaac_Newton
https://www.businessinsider.com/isaac-newton-lost-a-fortune-on-englands-hottest-stock-2016-1
-https://www.reuters.com/article/us-england-finance-breakingviews-idUSKBN1YG2NH
-https://www.smithsonianmag.com/smart-news/market-crash-cost-newton-fortune-180961655/
-https://physicstoday.scitation.org/doi/10.1063/PT.3.4521