บริหารแบบจู้จี้ VS ปล่อยให้ทำเอง ดีเสียต่างกันอย่างไร ?

บริหารแบบจู้จี้ VS ปล่อยให้ทำเอง ดีเสียต่างกันอย่างไร ?

2 ม.ค. 2022
บริหารแบบจู้จี้ VS ปล่อยให้ทำเอง ดีเสียต่างกันอย่างไร ? | THE BRIEFCASE
ถ้าวันนี้เรากำลังเป็นหัวหน้าทีม สิ่งที่ท้าทายไม่แพ้การบริหารงานในภาพที่ใหญ่ขึ้น ก็คือ “การบริหารคนในทีม ที่มีความหลากหลาย”
เพราะลูกทีมที่เราดูแลนั้น อาจมีตั้งแต่เด็กจบใหม่ คนมีประสบการณ์ หรือแม้แต่คนที่อายุมากกว่าเรา
อีกทั้งปัญหาที่หัวหน้าทีมมักจะเจอก็คือ ถ้าหัวหน้าทีมมาดูแลหรือเอาใจทุกคน ก็จะไม่มีเวลาดูภาพรวมของตัวงาน หรือถ้าหัวหน้าทีมอยู่ห่าง ๆ รอดูผลลัพธ์ของงานในภาพรวม ลูกทีมก็มักจะรู้สึกว่าหัวหน้าไม่สนใจ
ซึ่งการบริหารทั้งสองแบบข้างต้น มีชื่อเรียกว่า Micro-management และ Macro-management
การบริหารทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร และมีข้อดี-ข้อเสียอะไร ที่เราควรรู้บ้าง ?
THE BRIEFCASE จะสรุปให้ฟัง
มาเริ่มจาก Micro-management กันก่อน
การบริหารงานแบบ Micro-management แปลตามตัวคือ “การบริหารงานแบบจุลภาค”
ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารงานอย่างใกล้ชิดระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องในทีม โดยไล่ตั้งแต่การติดตาม มองดู สังเกตการณ์ และตรวจสอบการทำงานของลูกน้องในทุกขั้นตอน
เรียกได้ว่า หัวหน้าแทบจะติดตามลูกทีมทุกฝีก้าว ทุกการกระทำของลูกน้องจะอยู่ในสายตาของหัวหน้าอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างการบริหารงานแบบ Micro-management เช่น การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ทุกวันนี้หลายบริษัทมีการใช้นโยบาย Work From Home
ซึ่งถ้าหัวหน้าที่มีสไตล์การทำงานแบบ Micro-management พวกเขาก็จะให้ลูกทีมคอยรายงานสิ่งที่ต้องทำอย่างละเอียดทุกวัน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการทราบและรู้ว่า แต่ละวันลูกทีมนั้นทำอะไรไปบ้าง
ข้อดีของ Micro-management ก็คือ
- ผู้บริหารหรือหัวหน้าสามารถติดตามงานได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งวางแผน ตัดสินใจดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ตามทันทุกสถานการณ์
- ในกรณีที่เกิดปัญหาในการทำงานของทีม ผู้บริหารหรือหัวหน้าสามารถเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โต จนแก้ไขได้ยาก หรืออาจแก้ไขไม่ได้เลย
แต่ Micro-management ก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น
- อาจสร้างความอึดอัดให้กับลูกทีม โดยเฉพาะลูกทีมบางคนที่ชอบความเป็นอิสระในการทำงาน ไม่ต้องการให้ใครมาจู้จี้จุกจิกมากเกินไป
นอกจากนี้ การที่หัวหน้ามาควบคุมทุกขั้นตอน อาจทำให้ลูกทีมบางคนคิดว่า เพราะหัวหน้าไม่ไว้ใจพวกเขาในการทำงาน ซึ่งเมื่อลูกทีมรู้สึกว่าหัวหน้าไม่เชื่อใจ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะคิดว่าตัวเองไร้ความสามารถ และรู้สึกไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ซึ่งนำไปสู่การลาออกในที่สุด
- การลงรายละเอียดที่มากเกินไป อาจทำให้หัวหน้าหรือผู้บริหารไม่มีเวลาไปทำเรื่องอื่น ซึ่งอาจสำคัญไม่แพ้กัน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงมีอีกแนวทางหนึ่งที่เรียกว่า การบริหารงานแบบ Macro-management
การบริหารงานแบบ Macro-management แปลตามตัวคือ “การบริหารแบบมหภาค”
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ หัวหน้ามักจะให้ความสำคัญกับภาพรวม หรือภาพใหญ่ในการทำงานของลูกทีมมากกว่า
หัวหน้าที่บริหารงานสไตล์นี้ มักไม่ค่อยเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของลูกทีมมากนัก
หัวหน้ามักจะเน้นการออกนโยบาย วางเป้าหมาย ออกแนวทางการทำงานให้ หลังจากนั้นลูกทีมก็จะไปทำงานตามที่หัวหน้ากำหนดเป้าหมายเอาไว้
ตัวอย่างการบริหารงานแบบ Macro-management เช่น ถ้าหัวหน้าสั่งให้ลูกทีมไปทำข้อมูลนำเสนองาน หัวหน้าที่บริหารงานสไตล์นี้จะเน้นการรอดูภาพรวมของข้อมูลที่นำเสนอ รอให้ฟีดแบ็กในตอนท้าย มากกว่าที่จะลงไปสั่งหรือกำหนดเรื่องเล็ก ๆ เช่น ให้ส่งเนื้อหาในสไลด์มาให้ตรวจทีละหน้า หรือให้ปรับตามที่หัวหน้าต้องการทันที
ซึ่ง Macro-management มีข้อดี ก็คือ
- ทำให้ลูกทีมไม่อึดอัด และสามารถสร้างอิสระในการทำงานให้แก่ลูกทีม ซึ่งการให้อิสระนี้จะทำให้ทีมงานสามารถดึงความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ และจะช่วยทำให้งานออกมาดีมากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้ลูกทีมสามารถประหยัดเวลาและพลังงาน ในการทำงานแต่ละอย่างได้ เพราะไม่ต้องคอยรายงานหัวหน้าทุกขั้นทุกตอน ซึ่งก็จะสามารถทำให้ลูกทีมผลิตงานออกมาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
แต่แนวทาง Macro-management ก็มีข้อเสียเช่นกัน เช่น
- ผู้บริหารหรือหัวหน้าบางคนที่ไม่สามารถติดตามงานได้อย่างใกล้ชิด อาจส่งผลให้งานที่ตนเองต้องการนั้น แตกต่างจากงานที่ลูกทีมทำออกมา
- กรณีที่เกิดปัญหาในการทำงาน แล้วลูกทีมไม่ได้แจ้ง ทำให้หัวหน้าไม่ได้รับทราบปัญหา จนเมื่อปัญหาลุกลามใหญ่โต ก็อาจจะแก้ไขได้ยาก
โดยสรุปก็คือ การบริหารแบบ Micro-management อาจทำให้หัวหน้าติดตามงานได้ง่ายก็จริง แต่ก็อาจทำให้ลูกทีมนั้นอึดอัด ไม่มีความสุข เพราะต้องรายงานสิ่งที่ทำตลอดเวลา จนอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพงานออกมาไม่ดีได้เช่นกัน แม้จะมีหัวหน้าติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด
การบริหารแบบ Macro-management อาจทำให้ลูกทีมนั้นมีความเป็นอิสระในการทำงานมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบมากขึ้น แต่ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของลูกทีมนั้นหย่อนยานได้ เพราะขาดคนมากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ เวลาที่เกิดปัญหาขึ้น บางครั้งหัวหน้าอาจเข้ามาจัดการแก้ไขไม่ทัน
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อการบริหารทั้งสองแบบต่างก็มีข้อดีข้อเสีย สรุปแล้วการบริหารงานแบบไหนดีกว่ากัน ?
การที่จะฟันธงว่า การบริหารงานสไตล์ไหนดีกว่ากันอาจเป็นเรื่องยาก
เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาด้วย เช่น บุคลิก ลักษณะนิสัยของหัวหน้าแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน นโยบายการทำงานของแต่ละบริษัทนั้นก็ไม่เหมือนกัน
และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นก็คือ ลักษณะนิสัยของคนทำงานแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน
ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่า อาจไม่ใช่การตอบว่า แนวทางใดแนวทางหนึ่งดีกว่ากัน แต่น่าจะเป็นการที่ผู้นำเรียนรู้การบริหารทั้งสองแบบ และผสมผสานจุดเด่นของทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาใช้ในการบริหารงานและบริหารคน ให้เหมาะสมกับการทำงานในองค์กรนั่นเอง..
References:
-https://www.investopedia.com/terms/m/macro-manager.asp
-https://innovationmanagement.se/2018/11/16/running-more-businesses-at-once-micro-management-vs-macro-management/
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.