ทำไมหลายแบรนด์ ทำช่องทางขายของวินเทจ ของมือสอง ด้วยตัวเอง

ทำไมหลายแบรนด์ ทำช่องทางขายของวินเทจ ของมือสอง ด้วยตัวเอง

11 มิ.ย. 2022
ทำไมหลายแบรนด์ ทำช่องทางขายของวินเทจ ของมือสอง ด้วยตัวเอง | BrandCase
“เฉลี่ยแล้ว ทุก 3 วินาที จะมีสินค้ามือสองขายออกไปได้ 2 ชิ้น”
นี่คือข้อมูลที่ eBay ค้นพบในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2020
ซึ่งตัวเลขนี้ คิดเป็นการเติบโตกว่า 400% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด
และกำลังสะท้อนไปถึงแบรนด์ว่า สินค้ามือสอง หรือแม้กระทั่งสินค้ามือหนึ่งที่เน้นความคลาสสิก ย้อนยุค หรือวินเทจ กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น
พอเป็นแบบนี้ ก็เลยทำให้แบรนด์หลาย ๆ แบรนด์ ต่างพากันมาเปิดช่องทางในการจำหน่ายสินค้ามือสอง หรือสินค้าวินเทจเป็นของตัวเองกันมากขึ้น รวมถึงบรรดาแบรนด์หรูต่าง ๆ ด้วย
- เริ่มจากแบรนด์ดังอย่าง Gucci
ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2021 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซต์ “Vault Gucci” ซึ่งเป็นช่องทางที่ทาง Gucci จะนำสินค้าวินเทจ หรือสินค้าในคอลเลกชันเก่า ๆ มาขาย
โดยมีการปรับแต่งสินค้าให้ดูมีความโมเดิร์นมากขึ้น และยังมีการจับมือกับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ ๆ ออกไลน์สินค้าพิเศษ เพื่อเชื่อมกับโลกปัจจุบันมากขึ้นด้วย
- อีกแบรนด์หนึ่ง ที่กำลังทำช่องทางในการจำหน่ายสินค้าวินเทจ ก็คือ Valentino
โดยทาง Valentino ได้เปิดตัวโครงการ Valentino Vintage ที่จับมือกับร้านขายของวินเทจทั้งหมด 4 แห่ง แบ่งเป็นในสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง อิตาลี 1 แห่ง และญี่ปุ่นอีก 1 แห่ง
โดยผู้ที่มีสินค้าจาก Valentino ในซีซันเก่า ๆ สามารถนำสินค้าของตนเอง มาประเมินราคา แล้วจะได้รับเป็นเครดิตเงินคืน สำหรับซื้อสินค้าอื่น ๆ ในช็อป Valentino
นอกจากนี้ ทางร้านวินเทจทั้ง 4 แห่ง ก็จะมีการจำหน่ายสินค้าวินเทจที่ถูกปรับแต่งโดยทาง Valentino เองออกมาจำหน่ายด้วย
แล้วอะไรที่เป็นปัจจัย ทำให้สินค้าวินเทจและสินค้ามือสอง กลายเป็นที่ต้องการมากขึ้นในเวลานี้ ?
- สิ่งที่หาไม่ได้ในสินค้าปัจจุบัน
สินค้าที่ผลิตในสมัยก่อนนั้น มีขั้นตอนการผลิตที่แตกต่างกับปัจจุบัน
เพราะในสมัยก่อนไม่ได้มีวิธีการผลิตที่ล้ำสมัย ทำให้การผลิตสิ่งของต่าง ๆ นั้น มักเป็นงานฝีมือที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่ต้องอาศัยความชำนาญ และความใส่ใจในรายละเอียด
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ที่ซื้อสินค้าไปใช้งานนั้น สามารถสัมผัสได้ว่า
มันไม่ใช่แค่สินค้าที่ปั๊มออกมาจากโรงงาน แต่มีความใส่ใจจากคนทำ ที่ใส่ลงไปในสินค้าแต่ละชิ้นจริง ๆ
- ความถี่ของการหมุนเวียนสินค้า
เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้แล้ว ไม่ได้เป็นสินค้าใหม่ ทำให้หลายคนที่เข้ามาอยู่ในตลาดนี้ ก็มักจะซื้อเพื่อนำมาใช้เพียงไม่นาน แล้วก็อยากจะขายต่อ
ทำให้สินค้าบางชิ้น ไม่ได้ถูกเปลี่ยนมือแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่อาจจะมากถึง 5-10 ครั้ง
ซึ่งหากแบรนด์เข้ามาทำตลาดนี้เอง ก็จะมีโอกาสเป็นตัวกลางในการจำหน่าย และคิดค่าบริการจากตรงนี้ได้โดยตรง
- เทรนด์ความยั่งยืน
คงเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว หากแบรนด์ต่าง ๆ ทำสินค้าออกมาจำหน่ายแล้วก็จบไป
หลาย ๆ แบรนด์จึงหันมาทำสิ่งที่เรียกว่า Circular Economy หรือการหันมาใส่ใจในการหมุนเวียนสินค้า หรือของเสียที่เกิดจากการผลิตและการบริโภคมากขึ้น อย่างเช่น การเปิดรับซื้อสินค้ารุ่นเก่า ๆ คืน
จะเห็นได้ว่า รูปแบบความคิดหรือการจำหน่ายสินค้าในปัจจุบันนั้น ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
หลายแบรนด์กำลังเข้ามาใส่ใจในเรื่องนี้ ตั้งแต่การผลิต จำหน่าย จนกระทั่งถึงการรับผิดชอบต่อสินค้าที่จำหน่ายออกไปกันมากขึ้น
ซึ่งการทำเช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลดีแค่กับตัวแบรนด์เอง แต่ยังส่งผลดีไปถึงสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ..
ปี 2022 ตลาดมือสองทั่วโลกมีมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท
และคาดการณ์ว่า ภายในปี 2029 จะมีมูลค่าแตะ 2.7 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าขนาดของตลาด Fast Fashion ถึง 2 เท่า เลยทีเดียว..
References
-https://becauselondon.com/fashion/2021/luxury-brands-doing-vintage-gucci-jpg-valentino/
-https://www.harpersbazaararabia.com/hbanews/vintage-luxury
-https://vault.gucci.com/en-US/story/gucci-vintage
-https://www.valentino-vintage.com/en/
-https://www.statista.com/statistics/826162/apparel-resale-market-value-worldwide/
-https://www.greenqueen.com.hk/secondhand-fashion-growth-sustainability/
-https://www.statista.com/statistics/1008241/fast-fashion-market-value-forecast-worldwide/
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.