Singularity ถ้าเรามีชีวิตได้ตลอดไป?

Singularity ถ้าเรามีชีวิตได้ตลอดไป?

25 ก.ค. 2017
ถ้าให้ถามว่าธุรกิจอะไรจะมาแรงที่สุดในอนาคต สำหรับ บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลกตอนนี้คงจะตอบว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับ AI หรือ Artificial Intelligence เขามองว่าในอนาคตหุ่นยนต์จะทำงานแทนเราได้เกือบทุกเรื่อง และ ในอนาคตเราอาจจะแยกไม่ออกว่าคนข้างๆเราเป็นคนหรือหุ่นยนต์
แล้ว Singularity คืออะไร?
ในปี 1950 John von Neumann เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า Singularity เขาอธิบายว่าเมื่อหุ่นยนต์พัฒนาได้ด้วยตัวมันเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดจนมนุษย์ตามไม่ทัน..
และถ้าถึงจุดนั้นจะเข้าสู่ยุคสิ้นสุดของมนุษย์แบบเดิมที่เคยเป็นมา.. ไม่รู้ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์หรือไม่ แต่ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
โลกเกิดมาแล้ว 4,500 ล้านปี
100 ล้านปีที่แล้วโลกเคยอยู่ในยุคของไดโนเสาร์
ตอนนี้โลกอยู่ในยุคของมนุษย์
แต่จริงๆแล้วเมื่อ 100,000 ปีที่แล้วมนุษย์ก็ใช้ชีวิตไม่ได้ต่างอะไรจากลิง
สิ่งที่ทำให้มนุษย์เริ่มต่างจากลิงคือ การเริ่มตระหนักรู้ตัวตน หรือ conscious
สมองมนุษย์พึ่งเริ่มพัฒนาและรู้จักใช้เครื่องมือในเมื่อ 50,000 ปีที่แล้วนี้เอง
ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้หุ่นยนต์กำลังจะเริ่มฉลาดกว่ามนุษย์ และโลกอาจจะกำลังก้าวเข้าสู่ยุคต่อไป
หุ่นยนต์จะฉลาดกว่ามนุษย์ได้อย่างไร?
Ray Kurzwell ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้กล่าวว่า Singlularity คือ จุดที่พลังสมองของหุ่นยนต์รวมกันทั้งหมดจะฉลาดกว่าสมองของมนุษย์ทั้งหมดบนโลกรวมกัน ซึ่งเขาคาดว่าจุดนั้นจะเกิดขึ้นราวๆปี 2045 หรืออีก 28 ปีข้างหน้า..
ทำไมจุดที่เป็น Singularity จะเกิดขึ้นอีกไม่นานเลยถ้านับจากตอนนี้?
จากกฎของมัวร์ (Moore’s Law) บอกว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปแบบ exponential ความสามารถในการคำนวณของหุ่นยนต์จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกๆ 14 เดือน ตอนแรกๆเราอาจจะยังไม่เห็นว่ามันฉลาดเท่าไร แต่เมื่อมันทบต้นไปเรื่อยๆมันจะฉลาดขึ้นมากแบบทวีคูณจนเราตามไม่ทัน
28 ปีข้างหน้า เมื่อนำไปหาร 14 เดือนจะได้ว่า ความสามารถในการคำนวณจะเพิ่มเป็นเท่าตัวไป 24 ครั้ง.. ถ้าเรานำ 2 ไปยกกำลังด้วย 24 จะได้คำตอบว่า ณ จุดนั้น หุ่นยนต์จะฉลาดกว่าตอนนี้ไปอีก 16,777,216 เท่า..
และถึงตอนนั้นเราก็คงจะเป็นลิงในสายตาของหุ่นยนต์..
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือ โชคร้าย เรากำลังอยู่ในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือจุดที่สำคัญมากๆของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และไม่มีใครรู้ว่ายุคหลัง Singularity แล้วมนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างไร เราจะควบคุมหุ่นยนต์ได้มั้ย หรือว่าหุ่นยนต์จะควบคุมเราเพราะเมื่อถึงจุดนั้นมันจะฉลาดกว่าเรามาก
ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาคือถ้ามนุษย์ไม่ได้ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแยกกับหุ่นยนต์หล่ะ? เราไม่ต้องควบคุมหุ่นยนต์ หรือหุ่นยนต์ควบคุมเรา ถ้าเราผนวกตัวเราเองเข้ากับหุ่นยนต์เลยได้หล่ะ?
ถ้ามนุษย์สามารถผนวกตัวเองเข้ากับหุ่นยนต์ได้ จะมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งตามมา
เรื่องสำคัญนั้นคือ มนุษย์มีโอกาสที่จะมีชีวิตได้ตลอดไป หรือเราเรียกกันว่าเป็น อมตะ..
มนุษย์จะดำรงอยู่ได้ตลอดไปได้โดยไม่ได้ใช้ร่างเดิม..
Conscious ความทรงจำ ความรู้สึกนึกคิด หรือจิตของเรา จริงๆแล้วไม่ได้อยู่หัวใจ แต่จริงๆแล้วมันเป็นข้อมูลที่เก็บอยู่ในสมองของเรา ถ้าเราสามารถส่งต่อข้อมูลโดยการ upload ความรู้สึกนึกคิดเราเข้า computer ถึงตอนนั้นความรู้สึกนึกคิดเราก็จะล่องลอยอยู่ในโลกดิจิตอลแทนโลกจริง
ถ้าเราอยากกลับมาสู่โลกจริง ก็ download ความรู้สึกนึกคิดเราเข้าไปในหุ่นยนต์ ถึงตอนนั้นเราจะเป็นคนเดิมในร่างใหม่ที่เป็นหุ่นยนต์
ถ้าเราอยากกลับมาสู่ร่างมนุษย์หล่ะ?
เรื่องนี้จะเกี่ยวกับ ชีววิทยา ด้วย ในการเก็บข้อมูล DNA ของมนุษย์ด้วย มนุษย์แต่ละคนจะมี Genome 6,200 nucleotides และการเก็บข้อมูล 1 byte จะเก็บ nucleotide ได้ 4 คู่ ดังนั้น มนุษย์ 1 คนต้องการพื้นที่ในการเก็บข้อมูล 10^19 bytes หรือ 10 exabytes ถ้ามนุษย์สามารถพัฒนาการเก็บข้อมูลรองรับได้ทุกคนบนโลกซึ่งมีจำนวนเท่ากับ 1.325x10^37 bytes ได้ (คาดว่าอีก 110 ปี) ก็หมายความว่ามนุษย์ทุกคนมีโอกาสกลับคืนสู่ร่างเดิมเป๊ะๆด้วยการโคลนนิ่งจาก DNA ของตัวเองขึ้นมาใหม่ แล้ว download ความรู้สึกนึกคิดทับเข้าไปในสมองเดิม
เรื่องนี้ฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝันแน่ๆ แต่ก็หลายครั้งที่เรื่องฝันๆเหล่านี้กลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
ตอนนี้ Elon Musk กำลังลงทุนในบริษัท Neural Link ซึ่งเป็นการเชื่อมสมองคนเข้ากับคอมพิวเตอร์ ในทำนองเดียวกับ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก Building8 หน่วยงานวิจัยของเฟซบุ๊คเริ่มเชื่อมสมองคนกับคอมพิวเตอร์ได้แล้ว โดยเป้าหมายแรกก็คือ การทำให้มนุษย์สั่งพิมพ์โดยตรงจากสมองเร็วเป็น 5 เท่าของการพิมพ์ด้วยนิ้วมือ
แค่การพิมพ์ได้โดยไม่ต้องใช้นิ้ว แค่นี้ก็จะน่าจะเปลี่ยนโลกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว
เมื่อ 200 ปีที่แล้ว..
สมัยกรุงศรีอยุธยาเรายังขี่ม้ายิงธนูกันอยู่ ถ้าคนสมัยนั้นมาเห็น iphone ในสมัยนี้ ก็คงช็อคว่าเป็นไปได้ยังไง
ถ้าดูจากรูปประกอบเป็นกราฟ GDP ของโลกเริ่มต้นที่ คศ.0 เราจะเห็นว่า GDP ของโลกเราใน 217 ปีที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นคนละเรื่องกับ 1,800 ปีก่อนหน้านั้น สิ่งนี้เป็นการตอกย้ำว่าการเพิ่มเป็นทวีคูณของกฎของมัวร์น่าจะเป็นจริง
แล้วโลกจะเป็นอย่างไรในอีก 28 ปีข้างหน้า..?
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าโลกยังพัฒนาตามกฎของมัวร์ไปอีก ในอีก 28 ปีข้างหน้าโลกก็น่าจะพัฒนาเร็วกกว่า 2,017 ปีที่ผ่านมารวมกันทั้งหมด
จริงๆแล้ว ไม่ใช่แค่ 2,017 ปี..
ประวัติศาสตร์ทั้งหมด 100,000 ปีตั้งแต่มนุษย์สายพันธุ์ Homo Sapiens กำเนิดขึ้นก็จะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 28 ปีข้างหน้านี้
ผลลัพธ์ออกมาจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครตอบได้แน่ชัด
ถ้าให้อายุขัยเฉลี่ยคน 80 ปี สำหรับคนที่ตอนนี้อายุน้อยกว่า 50 ปี มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เห็นจุดนั้นกัน
จนถึงตอนนี้เราเตรียมพร้อมที่จะเจอกับจุด Singularity แล้วหรือยัง?
ถ้าใครกำลังท้อแท้ หรือคิดว่าตัวเองโชคไม่ดี อย่างน้อยเราน่าจะโชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคนี้
ยุคที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์มนุษยชาติอย่างแท้จริง..
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.