กำไรที่ลดลง ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

กำไรที่ลดลง ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

20 มี.ค. 2019
กำไรที่ลดลง ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ / โดย ลงทุนแมน
ในปี 2561 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทำรายได้สูงกว่า 11 ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปี 2560
แต่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับลดลงไป 10.8% จากปี 2560
ถึงแม้รายได้ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น
แต่กำไรกลับลดลง
แล้วทำไมกำไรของหลายบริษัทถึงลดลง ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เรามาเริ่มกันที่รายได้และกำไรกันก่อน
รายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด (SET)
ปี 2560 รายได้ 10.8 ล้านล้านบาท กำไร 944,885 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 11.9 ล้านล้านบาท กำไร 931,163 ล้านบาท
หมายความว่า ในปี 2561 รายได้ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นั้นเพิ่มขึ้นกว่า 10.4% แต่กำไรกลับลดลง 1.5%
แล้วกลุ่มอุตสาหกรรมไหนที่มีกำไรเพิ่มขึ้นและลดลงมากที่สุด?
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน ที่กำไรเพิ่มขึ้นกว่า 21,683 ล้านบาท
ปี 2560 กำไร 214,774 ล้านบาท
ปี 2561 กำไร 236,457 ล้านบาท
กำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจการเงินเนื่องจากในหมวดธนาคารพาณิชย์นั้น มีการขยายตัวของสินเชื่อ และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารขนาดใหญ่บางแห่งลดลง
ขณะที่ในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์นั้น การเติบโตของสินเชื่อรายย่อยก็ช่วยให้กำไรของกลุ่มนี้ขยายตัวดีขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมที่มีกำไรลดลงมากที่สุดก็คือ กลุ่มทรัพยากร
ปี 2560 กำไร 288,389 ล้านบาท
ปี 2561 กำไร 261,558 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มทรัพยากรจะแบ่งย่อยออกเป็น หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และ หมวดเหมืองแร่
ซึ่งแน่นอนว่า หมวดที่มีอิทธิพลมากก็คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เนื่องจากมีบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) ขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จดทะเบียนอยู่ในกลุ่มนี้
กำไรที่ลดลงของกลุ่มทรัพยากรจำนวน 26,831 ล้านบาท
สาเหตุหลักเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับช่วงกลางปี ที่ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับที่สูงกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
พอเรื่องเป็นแบบนี้ บริษัทพลังงานหลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่นจึงต้องบันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบจำนวนมาก
โดยการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบเกิดจาก การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง สต็อกน้ำมันดิบที่ซื้อมาก่อนหน้านั้น จะมีราคาสูงกว่าราคาตลาดในปัจจุบัน ซึ่งกรณีนี้ได้เกิดขึ้นกับบริษัทพลังงานหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา
อย่างที่หลายคนรู้ กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรนับเป็นกลุ่ม Market cap ขนาดใหญ่ โดยมีมูลค่ากว่า 3.6 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 22% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั้งตลาดที่ 16.6 ล้านล้านบาท
ขณะที่กำไรของกลุ่มทรัพยากรนั้น มีสัดส่วนประมาณ 28% ของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด
ดังนั้น ผลประกอบการและราคาหุ้นในกลุ่มนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป จะมีผลต่อการการปรับตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์
สรุปแล้ว เราคงต้องติดตามกันว่าในปีนี้กำไรของกลุ่มทรัพยากรจะกลับมาได้หรือไม่ เพราะดูเหมือนกำไรที่ลดลงจะเป็น one-time หรือเกิดขึ้นครั้งเดียวจากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน
แต่ถ้าราคาน้ำมันยังลงต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องบันทึกขาดทุนสต็อกน้ำมันอีกเป็น several-time..
----------------------
รู้ไหม บริษัทใดมีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ ดูได้ที่
https://www.blockdit.com/articles/5ba36089f1c61122aa61c618
ติดตามเรื่องหลากหลาย จากผู้เขียนเก่งๆ หลายท่าน ในแอป blockdit โหลดได้ที่ http://www.blockdit.com
สั่งซื้อหนังสือลงทุนแมน 9.0 ได้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/90-i293980783-s493954943.html
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.