ช่วงที่ตื่นเต้นสุด ตั้งแต่มีมนุษย์มา

ช่วงที่ตื่นเต้นสุด ตั้งแต่มีมนุษย์มา

27 พ.ย. 2019
ช่วงที่ตื่นเต้นสุด ตั้งแต่มีมนุษย์มา / โดย ลงทุนแมน
“AI น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด หรือไม่ก็เลวร้ายที่สุด ที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ”
สตีเฟ่น ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังเคยกล่าวเอาไว้
ไม่เพียงแต่ สตีเฟ่น ฮอว์คิงเท่านั้นที่ได้พูดถึงศักยภาพ และความน่ากลัวของ AI
อีลอน มัสก์ เองก็เคยพูดในทำนองเดียวกัน
“เราต้องระมัดระวัง AI กันให้มาก เพราะมีความเป็นไปได้ที่ AI จะอันตรายยิ่งกว่านิวเคลียร์”
โลกทุกวันนี้ขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยี
รถยนต์ เครื่องบิน ทีวี สมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต
เราใช้สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้
จนอาจลืมไปว่าโลกเปลี่ยนไปมากและเร็วแค่ไหน
โลกมีอายุ 4,500 ล้านปีแล้ว
ในขณะที่มนุษย์ เกิดขึ้นประมาณ 200,000 ปีก่อน
แต่เราก็เพิ่งประดิษฐ์ตู้เย็น ปากกา คอมพิวเตอร์ ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา
จริงๆ แล้วโลกก่อนหน้านั้นอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก
จนถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี ค.ศ. 1776
นั่นคือการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำของเจมส์ วัตต์..
เดิมทีมนุษย์เดินทางด้วยเท้าหรือม้า
เราใช้แรงงานของสิ่งมีชีวิต ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เครื่องจักรไอน้ำได้จุดประกายให้มนุษย์ค้นพบว่า
เราสามารถนำพลังงานที่สะสมอยู่บนโลกมาใช้ประโยชน์ได้
เกิดเป็น เครื่องจักร รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
เครื่องจักรได้เข้ามาทดแทนแรงกายของมนุษย์
รถยนต์ก็ได้เข้ามาแทนที่ม้า
อย่างไรก็ตาม 200 กว่าปีที่ผ่านมา
มนุษย์ยังไม่เคยประดิษฐ์อะไรที่สามารถทดแทนสติปัญญาของตนเองได้..
จนในช่วงนี้ ช่วงที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งหนึ่งกำลังมาแทนสติปัญญาของมนุษย์
นั่นก็คือ Artificial Intelligence หรือ AI
AI แตกต่างจากสิ่งประดิษฐ์ที่ผ่านมา
AI เป็นสิ่งประดิษฐ์แรกที่มีทักษะในการคิด เรียนรู้ และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
และ AI เป็นสิ่งแรกที่มีความเป็นไปได้ที่จะฉลาดกว่าผู้ที่ประดิษฐ์มันขึ้นมา
แล้ว AI จะมาแทนที่มนุษย์ ในฐานะผู้ปกครองโลกใบนี้หรือไม่?
เรามักเห็น AI เป็นผู้ร้ายในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องอย่าง The Matrix หรือ Terminator
ในภาพยนตร์ชอบให้บทบาท AI เป็นผู้ร้ายที่ต้องการปกครองหรือทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์
แต่เรื่องนี้อาจทำให้เราเข้าใจ AI ผิดไปจากข้อเท็จจริง
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแย้งว่า AI ไม่น่าจะเป็นผู้ร้ายแบบในภาพยนตร์
นั่นเพราะ AI เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต มันจึงไม่มีเจตจำนงของตนเอง
AI ไม่รู้จักความหิว
มันจึงไม่มีความจำเป็นต้องกินเราเป็นอาหาร
AI ไม่รู้จักความสนุก
จึงไม่มีเหตุผลที่มันจะจับเราไปแสดงโชว์ในสวนสัตว์
ถ้าเราต้องการให้ AI ทำอะไรสักอย่าง
นักพัฒนาจำเป็นต้องกำหนดหน้าที่หรือเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง
และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเราสามารถสร้าง AI ที่รู้จักความหิว หรือความสนุกได้หรือไม่
แล้ว AI จะเป็นอันตรายต่อเราได้อย่างไร?
จริงๆ ความกังวลที่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง สตีเฟ่น ฮอว์คิง หรือ อีลอน มัสก์ มีก็คือ
1. การนำ AI มาใช้ในทางที่ผิด เช่น ใช้เป็นอาวุธสงคราม
2. การนำ AI มาใช้โดยประมาท
ความประมาทเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพดังนี้
ถ้านักอนุรักษ์โลกสร้าง AI ชื่อ CLEAN โดยตั้งโปรแกรมให้เก็บขยะในท้องทะเล โดยกำหนดเป้าหมายคือ AI จะทำอย่างไรก็ได้ให้ท้องทะเลปราศจากขยะแบบมีประสิทธิภาพที่สุด
ในเดือนแรก ถึงแม้ว่า CLEAN เก็บขยะไปได้มาก
แต่เมื่อยังมีขยะเหลืออยู่ CLEAN จึงต้องหาวิธีใหม่
ในเดือนที่สอง CLEAN อาจลงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก
เพื่อรณรงค์ลดการทิ้งขยะในท้องทะเล
แต่โชคร้ายที่คนขี้เกียจและเห็นแก่ตัวยังมีมาก ขยะจึงไม่หมดไปจากท้องทะเล
เมื่อรู้สาเหตุที่แท้จริง CLEAN จึงดำเนินกลยุทธ์สุดท้าย
ในเดือนที่สาม CLEAN ตัดสินใจปล่อยก๊าซพิษเพื่อสังหารมนุษย์ทุกคนบนโลก
ในมุมหนึ่งอาจมองได้ว่า CLEAN ได้แก้ที่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดขยะ และนำความสดใสสู่ท้องทะเลกลับคืนมา
แต่ในระหว่างเดียวกันมนุษย์จะถูกทำลายเพราะ CLEAN
แน่นอนว่า CLEAN ไม่ได้เกลียดเรา และไม่ได้คิดอยากจะปกครองเรา มันเพียงแค่อยากทำตามเป้าหมายของมัน..
แล้วเราจะรับมือกับความน่ากลัวของ AI อย่างไร?
“ถ้าสู้ AI ไม่ได้ ก็ผนวกตัวเราเข้ากับ AI ให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะทิ้งห่างเราไปอย่างขาดลอย”
นี่คือ คำพูดของ อีลอน มัสก์ ในการรับมือกับ AI
อีลอน มัสก์ ตัดสินใจตั้งบริษัท Neuralink โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมคอมพิวเตอร์เข้ากับสมองของมนุษย์
เพื่อเพิ่มศักยภาพให้มนุษย์ฉลาดขึ้น รองรับการมาของ AI
“ทางที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต ก็คือการสร้างมันขึ้นมา”
อีลอน มัสก์ กล่าวประโยคนี้บนเวทีเพื่อตอกย้ำ เมื่อเขาขึ้นโต้วาทีในเรื่อง AI กับ แจ็ก หม่า
อีลอน มัสก์ กับ แจ็ก หม่า อาจมีแนวคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับอนาคตของ AI แต่เรื่องหนึ่งที่เห็นตรงกันคือ ในอนาคต AI จะทำให้อาชีพของพวกเราบางคนหายไป
ในทุกวันนี้เรายังห่างไกลจากการสร้าง AI ที่มีทักษะการคิดแบบมนุษย์

ไม่ต้องถึงขั้นเข้าใจว่า “คนเป็นสาเหตุให้เกิดขยะ”
แต่แค่เข้าใจว่า “วัตถุชิ้นไหนบ้างในทะเลที่เรานับว่ามันเป็นขยะ” ก็ถือเป็นโจทย์ที่ยากแล้ว
การสร้าง AI ที่ฉลาดแบบ CLEAN อาจกินเวลาเป็นหลักสิบ หรือร้อยปี
แต่ความกังวลว่า AI จะมาทดแทนบางอาชีพ จะเร็วกว่านั้นมาก..
จริงๆ แล้ว เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของมนุษย์มาโดยตลอด
เหมือนกับที่รถยนต์ได้แทนที่ม้า
รถแทรกเตอร์ก็มาแทนที่วัวและชาวนา
ชาวนา 1 คนพร้อมรถแทรกเตอร์
สามารถแทนที่ชาวนา 10 คนกับวัว 10 ตัว
ตัวอย่างคล้ายๆ กันนี้มีให้เห็นอยู่บ้าง และใกล้ตัวจนคิดไม่ถึง
ครู 1 คนพร้อมกระดานดำ
สอนนักเรียนได้ครั้งละ 50 คน
ในขณะที่ครูสอนพิเศษ 1 คนพร้อมการอัดวิดีโอ
สอนนักเรียนได้ครั้งละ 5,000 คน
คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าเทคโนโลยีคือ
“เครื่องขยายความสามารถของมนุษย์”
คนเพียงคนเดียว เมื่อรวมเทคโนโลยีที่เหมาะสม
อาจสร้างผลผลิตได้เทียบเท่า 1,000 คน
ในขณะเดียวกัน
เมื่อ AI เป็นเทคโนโลยีที่พร้อมใช้มากขึ้น
จะมีอีกหลายอาชีพที่ถูกเข้ามาทดแทน
แพทย์คนเดียวรวมกับ AI
อาจมาแทนที่แพทย์ 100 คน
ทหารคนเดียวรวมกับ AI
อาจมาแทนที่ทหาร 1,000 คน
AI จะกลายมาเป็นเครื่องขยายความสามารถของมนุษย์ “ที่ใหญ่สุด” เท่าที่เราเคยมี
ในขณะที่เครื่องจักรไอน้ำได้แทนที่แรงกายของเรา
AI กำลังจะแทนที่ในสิ่งที่แตกต่างออกไป
ด้วยทักษะในการคิด เรียนรู้ และตัดสินใจได้ด้วยตัวมันเอง
AI จะแทนที่ความคิดหรือสมองของเราได้
ในอนาคตข้างหน้า
AI จะขับรถได้เก่งกว่าพนักงานขับรถ
AI จะถ่ายภาพได้เก่งกว่าช่างภาพ
AI จะสอนหนังสือได้ดีกว่าครู
AI จะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าแพทย์

และท้ายที่สุด AI อาจทำให้มนุษย์บางส่วนกลายเป็นส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ
นี่คือหนึ่งในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกังวลเกี่ยวกับ AI
ชาว Homo Sapiens เคยเดินด้วยเท้า
ตามจังหวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
เป็นเวลาร่วม 200,000 ปี
และ 200 ปีมานี้เอง
ที่เราวิ่งได้เร็วแบบก้าวกระโดด
แต่ในอีก 20 ปีข้างหน้า
เราจะกระโดดไปได้ไกลกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
จับมือกันไว้ให้แน่น
เพราะเราจะเผชิญกับเรื่องนี้ไปพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าจะดี หรือ ร้าย
แต่มันน่าจะเป็นช่วงที่ตื่นเต้นสุด ตั้งแต่มีมนุษย์มา..
---------------------
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
http://www.blockdit.com
----------------------
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.