ต้นกำเนิด Coca-Cola มาจากการรักษา อาการเจ็บปวด

ต้นกำเนิด Coca-Cola มาจากการรักษา อาการเจ็บปวด

13 ก.ค. 2021
ต้นกำเนิด Coca-Cola มาจากการรักษา อาการเจ็บปวด /โดย ลงทุนแมน
ในปี ค.ศ. 1861 เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการและแรงงานในภาคการเกษตรของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมือง ที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายนับล้านชีวิต
ช่วงเวลานั้น ได้มีนายพันของกองทหารม้านายหนึ่งชื่อว่า “John Stith Pemberton”
ได้รับบาดเจ็บจากการถูกดาบแทงขณะออกรบ และแม้ว่าเขาจะรอดชีวิตมาได้
อาการเจ็บปวดจากบาดแผลยังคงติดตัวเขาไปตลอดชีวิต
แต่รู้หรือไม่ว่าด้วยความเจ็บปวดนี้เอง ได้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของเครื่องดื่มที่มีชื่อว่า Coca-Cola..
แล้วบาดแผลที่ถูกดาบแทงกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมระดับโลกได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบาดแผลในสงคราม ทำให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนจำเป็นต้องใช้ “มอร์ฟีน”
ซึ่งนอกจากจะเป็นสารเสพติดแล้ว มันยังช่วยในการระงับความเจ็บปวด
แต่เมื่อมันขึ้นชื่อว่าสารเสพติดแล้ว การที่ใช้มอร์ฟีนในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบในระยะยาว
นายพัน Pemberton จึงต้องหันไปหาทางเลือกอื่นและด้วยตัวเขาเองที่ก่อนเข้าร่วมสงครามมีอาชีพเป็นเภสัชกรและนักเคมี เขาจึงเริ่มค้นหาตัวยาที่ช่วยระงับความเจ็บปวดและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ามอร์ฟีน
ในปี ค.ศ. 1886 Pemberton ก็ได้ผลิตไวน์ ที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบดั้งเดิมของ Coca-Cola
ในชื่อ “French Wine Coca” ที่มีคุณสมบัติช่วยในการระงับความเจ็บปวด และรักษาอาการอื่น ๆ เช่น ท้องเสียและอาการปวดหัว
ด้วยวัตถุดิบหลักคือสารสกัดจากใบโคคาหรือก็คือพืชชนิดเดียวกันกับที่ใช้ผลิตโคเคน
ซึ่งในสมัยนั้นโคเคนยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
แต่เนื่องจากไวน์ดังกล่าวมีกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มเกินไป ทำให้ Pemberton เกิดไอเดียที่จะต่อยอดไปยัง
เครื่องดื่มที่คนทั่วไปก็สามารถดื่มได้และทำเงินได้มากกว่า เขาจึงเลือกที่จะมองไปยังเครื่องดื่มยอดฮิตในขณะนั้นซึ่งก็คือน้ำหวานผสมโซดา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อน้ำอัดลมในปัจจุบัน
เขาจึงเริ่มปรับปรุงสูตรด้วยการเพิ่มน้ำตาลเพื่อให้มีรสหวานและนำแอลกอฮอล์ออกจากตัวเครื่องดื่มเพื่อที่จะสามารถขายให้กับผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จนได้รสชาติอย่างที่ต้องการโดยที่ยังมีส่วนผสมของใบโคคาเป็นส่วนประกอบอยู่
ส่วนชื่อนั้นถูกตั้งโดย Frank Robinson นักบัญชีที่คอยช่วยเหลือ Pemberton มาตลอด
โดยคำว่า Coca มาจากใบโคคา (Coca Leaf) และ Cola มาจากถั่วโคลา (Kola Nut)
ที่เป็นแหล่งที่มาของสารกาเฟอีนใน Coca-Cola
นอกจากนี้ Robinson ยังเป็นผู้ออกแบบโลโกของ Coca-Cola ที่ได้ใช้มาจนถึงปัจจุบัน อีกด้วย
แต่เมื่อออกจำหน่ายในปีแรก Coca-Cola กลับขายได้เพียง 1,000 แก้วเท่านั้น
และหลังจากนั้นไม่นาน Pemberton ก็ได้เสียชีวิตลง
ก่อนที่ Pemberton จะเสียชีวิต เขาก็ได้ขายสูตรน้ำหวาน Coca-Cola ต่อให้กับ Asa Candler เจ้าของธุรกิจร้านขายยา ซึ่งเรื่องดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์เครื่องดื่มที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ
ในปี ค.ศ.1891 Candler ได้ก่อตั้งบริษัท Coca-Cola ขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยสิ่งแรกที่เขาทำ คือการโปรโมตแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก
ด้วยการใส่โลโก Coca-Cola ลงบนทุกสิ่งที่สามารถใส่เข้าไปได้..
ไม่ว่าจะเป็นปฏิทิน กระเป๋าสตางค์ ผนังกำแพง รถของพนักงานขาย และอีกหลากหลายสิ่ง
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนต้องได้เห็นโลโกของ Coca-Cola
โดยโปรโมชันแรก ๆ ที่ Coca-Cola เลือกที่จะทำคือ “คูปองดื่มฟรี”
ต้องเข้าใจก่อนว่าในช่วงเวลานั้น เครื่องดื่มผสมโซดาจะถูกวางขายในร้านขายยา
โดยมีลักษณะคล้ายกับน้ำอัดลมโบราณในบ้านเรา ซึ่งอาจมีน้ำหวานมากกว่า 100 รสชาติให้เราได้เลือก
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีตัวเลือกมาก การที่ลูกค้าจะเลือก Coca-Cola จึงเป็นไปได้ยาก
สิ่งที่ Candler ทำก็คือการเขียนจดหมายถึงเจ้าของร้านขายเครื่องดื่มเพื่อขอรายชื่อลูกค้าขาประจำ 50 คน
โดยภายในจดหมายแต่ละฉบับจะมีคูปองที่มีโลโก Coca-Cola ให้กับลูกค้าประจำมาแลกเครื่องดื่มฟรีที่ร้าน
ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ได้ลิ้มลองรสชาติและเกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว
แต่แล้ว Coca-Cola ก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่
เมื่อโคเคนถูกระบุว่าเป็นสารเสพติดและเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้คนในเวลานั้น
และภาครัฐก็ยื่นคำขาดว่าห้ามมีโคเคนอยู่ในเครื่องดื่มเด็ดขาด
อีกประเด็นหนึ่งก็คือพวกเขาจำเป็นต้องรักษาสารสกัดจากโคคาไว้
เพื่อที่จะยังได้รับการปกป้องเครื่องหมายการค้าของบริษัท
นั่นทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาสูตร Coca-Cola ที่ยังมีส่วนผสมจากใบโคคา
แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกับโคเคนเหลืออยู่ในเครื่องดื่มและเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

จากนั้นในปี ค.ศ. 1899 Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas
ก็ได้เข้ามาติดต่อขอซื้อสิทธิ์ในการขายเครื่องดื่ม Coca-Cola แบบบรรจุขวดจาก Candler
โดยที่ Candler ก็ได้ขายสิทธิ์ดังกล่าวในราคาเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจบรรจุขวดในสมัยนั้น ยังถือว่ามีกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพต่ำและมีความยากในการบริหารจัดการ
เพราะฝาปิดขวดในอดีตยังใช้วัสดุประเภทลวดและจุกยาง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของเครื่องดื่มและยากต่อการทำความสะอาด นี่จึงเป็นที่มาของฝาจีบที่เข้ามาแก้ปัญหานี้ในเวลาต่อมา และในปี 1910 โรงงานบรรจุขวดของ Coca-Cola ก็ได้เกิดขึ้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา
แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ เพราะด้วยการเติบโตแบบรวดเร็วของ Coca-Cola จึงทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ลอกเลียนแบบแบรนด์ขึ้นมา
ทั้งชื่อที่ออกเสียงคล้ายกัน โลโก และขวดที่มีลักษณะเหมือนกัน
จนทำให้ผู้บริโภคแยกไม่ออกว่าแบบไหนคือ Coca-Cola ของแท้
เมื่อเป็นเช่นนี้ในปี ค.ศ. 1915 Coca-Cola จึงได้ออกแบบขวดรูปทรงใหม่ ที่มีส่วนโค้งเว้า
มีลายแนวตั้งข้างขวดเป็นเอกลักษณ์ โดยลักษณะขวดดังกล่าว
ก็ได้ตกทอดและยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นสงครามโลกก็เกิดขึ้น และน้ำตาลซึ่งเป็นส่วนผสมหลักถูกจำกัดการซื้อขาย เพื่อนำไปเป็นเสบียงให้กับกองทัพ ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้ทำให้ปริมาณการผลิตของ Coca-Cola หายไปถึงครึ่งหนึ่ง
บริษัทจึงเจรจากับรัฐบาลให้สนับสนุน Coca-Cola แก่ทหารทุกนายในกองทัพในราคาขายปกติ ไม่ว่าจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มใด ๆ ก็ตาม นั่นทำให้บริษัทได้รับข้อยกเว้นจากการจำกัดการใช้น้ำตาลและสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
และช่วงเวลานี้เองที่ Coca-Cola ได้กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่รู้จักไปทั่วโลก
ซึ่งเรื่องราวเกิดจากการที่ Dwight D. Eisenhower ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น
ได้สอบถามถึงความต้องการของทหารในกองทัพว่ามีอะไรที่จะช่วยให้พวกเขามีขวัญกำลังใจและคลายเครียดได้บ้าง คำตอบที่ Eisenhower ได้รับคือ
1. บุหรี่
2. ลูกอม
3. Coca-Cola
นั่นจึงทำให้ Coca-Cola ถูกร้องขอให้ไปตั้งโรงงานบรรจุขวดในต่างประเทศ
ทั้งในยุโรป อาเซียน และอีกหลาย ๆ พื้นที่ ที่กองทัพสหรัฐอเมริกาไปถึง และเมื่อสงครามจบลงโรงงานเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินธุรกิจและกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายของ Coca-Cola ในต่างแดนต่อไป..
ถึงแม้จะเป็นที่น่าเสียดาย ที่ Pemberton ผู้คิดค้นสูตรต้นตำรับของ Coca-Cola จะไม่มีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่เขาได้สร้างขึ้นมากับมือ
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างทางตั้งแต่ Pemberton ไปจนถึง Joseph Whitehead และ Benjamin Thomas ผู้นำสิทธิ์ Coca-Cola ไปบรรจุขวด รวมไปถึงการเกิดขึ้นของสงครามโลกที่ทหารสหรัฐอเมริกานำเครื่องดื่มนี้ไปหลายประเทศทั่วโลก หากมีตรงไหนเพี้ยนไปจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้น Coca-Cola ก็อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้และเป็นเพียงยาแก้ปวดชนิดน้ำยี่ห้อหนึ่งก็เป็นได้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ว่า Warren Buffett ยังคงกินขนมขบเคี้ยวและดื่ม Coca-Cola วันละประมาณ 5 กระป๋อง
เนื่องจากเขาเชื่อในสถิติที่ว่าเด็กอายุ 6 ขวบมีอัตราการเสียชีวิตน้อยที่สุด
เขาจึงกินในแบบที่เด็ก 6 ขวบ ชอบกิน และเขายังติดการกินอาหารรสเค็มอีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน Warren Buffett มีอายุ 90 ปีแล้ว
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.youtube.com/watch?v=DwCGY5SfLA4
-https://web.archive.org/web/20140325193447/http://ldsp01.columbusstate.edu:8080/xmlui/bitstream/handle/11075/598/TheCivilWarOrigi00GardCSU.pdf?sequence=3
-https://www.interexchange.org/articles/career-training-usa/2016/03/08/history-coca-cola/
-https://www.thestreet.com/lifestyle/food-drink/history-of-cola-cola
-https://www.blockdit.com/posts/5ec20e0e00dda1075b8665ab
-https://www.foxbusiness.com/features/inside-warren-buffett-junk-food-diet-which-includes-5-cans-of-coke-mcdonalds-and-dairy-queen
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.