
5 Megatrends น่าลงทุน ประเดิมครั้งแรกที่เราจะ “ซื้อขายกองทุนโดยตรง” ได้ทั่วโลก
5 Megatrends น่าลงทุน ประเดิมครั้งแรกที่เราจะ “ซื้อขายกองทุนโดยตรง” ได้ทั่วโลก
FinVest x ลงทุนแมน
FinVest x ลงทุนแมน
หลายประเทศเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนใช้ชีวิตปกติมากขึ้น
เป็นสัญญาณสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัว
เป็นสัญญาณสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัว
ขณะที่โลกการลงทุน ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างเฝ้าจับตา
แน่นอนว่า กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมในต่างประเทศกำลังเติบโตโดดเด่น
เช่น Blockchain, Healthcare Innovation, Smart Mobility, Long Term Global Growth, Clean Energy
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ คงหาได้ยากในประเทศไทย
แน่นอนว่า กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมในต่างประเทศกำลังเติบโตโดดเด่น
เช่น Blockchain, Healthcare Innovation, Smart Mobility, Long Term Global Growth, Clean Energy
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ คงหาได้ยากในประเทศไทย
จังหวะนี้เอง คือโอกาสกระจายการลงทุนที่ดีไปสู่ต่างประเทศ ในช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวมากนัก
แล้วจะดีอย่างไร.. หากเราสามารถลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรง
โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลางใด ๆ
แล้วจะดีอย่างไร.. หากเราสามารถลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรง
โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลางใด ๆ
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้านี้ หากเราต้องการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ
มักจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมตัวกลางที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีหนึ่ง
ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามใจที่นักลงทุนต้องการเสียทีเดียว
และที่หลายคนอาจลืมไป ก็คือการลงทุนผ่าน Feeder Fund จะมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน อีกด้วย
มักจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมตัวกลางที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีหนึ่ง
ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามใจที่นักลงทุนต้องการเสียทีเดียว
และที่หลายคนอาจลืมไป ก็คือการลงทุนผ่าน Feeder Fund จะมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกสิกรไทย, ลู อินเตอร์เนชันแนล และ กลุ่มโรโบเวลธ์
จึงได้ร่วมพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน “FinVest” ที่ทำให้เป็นแอปพลิเคชันการลงทุนแรกในประเทศไทยที่มีฟีเจอร์ Offshore
เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนในกองทุนทั่วโลกได้โดยตรงจากบลจ. ชั้นนำระดับโลก ไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลาง
จึงได้ร่วมพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน “FinVest” ที่ทำให้เป็นแอปพลิเคชันการลงทุนแรกในประเทศไทยที่มีฟีเจอร์ Offshore
เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนในกองทุนทั่วโลกได้โดยตรงจากบลจ. ชั้นนำระดับโลก ไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลาง
แล้วการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรง (Offshore) ผ่านแอปพลิเคชัน FinVest ดีอย่างไร ?
1. ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน รับกำไรเต็ม ๆ
เนื่องจากจะไม่มีค่าบริหารจัดการกองทุน 1-1.5% เหมือนกับกองทุนรวม Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ
2. เพิ่มโอกาสลงทุนกองทุนทั่วโลก ช่วยกระจายความเสี่ยง
เนื่องจากรองรับการลงทุนจากบลจ. ชั้นนำทั่วโลก
เช่น Baillie Gifford, Schroders, BlackRock, Invesco ฯลฯ
จึงครอบคลุมหลากหลาย Theme การลงทุนและ Megatrends ของโลกที่เราสนใจ
เช่น Baillie Gifford, Schroders, BlackRock, Invesco ฯลฯ
จึงครอบคลุมหลากหลาย Theme การลงทุนและ Megatrends ของโลกที่เราสนใจ
นอกจากนี้ FinVest ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกด้วย
3. ลงทุนง่าย สะดวกทุกขั้นตอน ครบ จบในแอปพลิเคชันเดียว
เช่น
- ลงทุนกองทุนทั่วโลกโดยตรง ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาท
- ลงทุนกองทุนต่างประเทศได้ด้วยสกุลเงินบาท โดยไม่ต้องแลกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
- แอปพลิเคชันใช้งานง่าย เพราะคำนึงถึง User Experience
- เปิดบัญชีได้ทันทีผ่านสมาร์ตโฟน และเลือกผูกบัญชีได้หลายธนาคาร
- ลงทุนกองทุนทั่วโลกโดยตรง ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาท
- ลงทุนกองทุนต่างประเทศได้ด้วยสกุลเงินบาท โดยไม่ต้องแลกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
- แอปพลิเคชันใช้งานง่าย เพราะคำนึงถึง User Experience
- เปิดบัญชีได้ทันทีผ่านสมาร์ตโฟน และเลือกผูกบัญชีได้หลายธนาคาร
4. มีทีมผู้เชี่ยวชาญ ช่วยแนะนำการลงทุน ชี้เป้าทุกสัปดาห์
โดยจะมีบริการสรุปข้อมูลที่อ่านเข้าใจง่าย และมีข้อมูลอัปเดตแนะนำการลงทุนอย่างเป็นกลาง
โดยจะมีบริการสรุปข้อมูลที่อ่านเข้าใจง่าย และมีข้อมูลอัปเดตแนะนำการลงทุนอย่างเป็นกลาง
ที่น่าสนใจก็คือ ภายในแอปพลิเคชัน FinVest ยังมีตัวช่วยคัดเลือกกองทุนรวมที่น่าสนใจ
ในรูปแบบ Thematic Investment เข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายทั่วโลก
และตอนนี้ FinVest ได้แนะนำ 5 กองทุนเด่นที่สอดคล้องกับ Megatrends ของอุตสาหกรรมระดับโลก 5 ด้าน นั่นคือ
ในรูปแบบ Thematic Investment เข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายทั่วโลก
และตอนนี้ FinVest ได้แนะนำ 5 กองทุนเด่นที่สอดคล้องกับ Megatrends ของอุตสาหกรรมระดับโลก 5 ด้าน นั่นคือ
1. ด้าน Global Energy Transition
ด้วยกองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก
ซึ่งสอดคล้องกับเมกะเทรนด์รูปแบบพลังงานที่จะช่วยแก้ภาวะโลกร้อน
โดยในปี 2050 จะมีเม็ดเงินลงทุน 120 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหา Climate Change
และยังมีนโยบายลดมลภาวะที่กำลังถูกผลักดันโดยภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
ปี 2563 กองทุน Global Energy Transition เติบโต 91.9%
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก
ซึ่งสอดคล้องกับเมกะเทรนด์รูปแบบพลังงานที่จะช่วยแก้ภาวะโลกร้อน
โดยในปี 2050 จะมีเม็ดเงินลงทุน 120 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหา Climate Change
และยังมีนโยบายลดมลภาวะที่กำลังถูกผลักดันโดยภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
ปี 2563 กองทุน Global Energy Transition เติบโต 91.9%
2. ด้าน Smart Mobility
ด้วยกองทุน Robeco Smart Mobility จาก UOBAM
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ
ซึ่งจะเป็นเมกะเทรนด์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะปฏิวัติการเดินทางในอนาคตตลอดทั้ง Supply Chain
จากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การใช้ไฟฟ้า (Electrification) มากขึ้น
ปี 2563 กองทุน Robeco Smart Mobility เติบโต 61.3%
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ
ซึ่งจะเป็นเมกะเทรนด์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะปฏิวัติการเดินทางในอนาคตตลอดทั้ง Supply Chain
จากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การใช้ไฟฟ้า (Electrification) มากขึ้น
ปี 2563 กองทุน Robeco Smart Mobility เติบโต 61.3%
3. ด้าน Blockchain Innovation
ด้วยกองทุน Blockchain Innovation จาก BNY Mellon
เน้นลงทุนในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลากหลายอุตสาหกรรม
เช่น บริการทางการเงิน, การแพทย์, ความปลอดภัยทางอาหาร, การจัดการโลจิสติกส์
ซึ่งในปี 2030 คาดการณ์ไว้ว่า มูลค่าธุรกิจที่ถูกสร้างขึ้นโดยนวัตกรรมบล็อกเชน
จะมีมูลค่าสูงถึง 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2563 กองทุน Blockchain Innovation เติบโต 46.2%
เน้นลงทุนในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลากหลายอุตสาหกรรม
เช่น บริการทางการเงิน, การแพทย์, ความปลอดภัยทางอาหาร, การจัดการโลจิสติกส์
ซึ่งในปี 2030 คาดการณ์ไว้ว่า มูลค่าธุรกิจที่ถูกสร้างขึ้นโดยนวัตกรรมบล็อกเชน
จะมีมูลค่าสูงถึง 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2563 กองทุน Blockchain Innovation เติบโต 46.2%
4. ด้าน Healthcare Innovation
ด้วยกองทุน Healthcare Innovation จาก Schroder ISF
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์
ทั้งในด้านการรักษาโดยเทคนิคพิเศษ, เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างหุ่นยนต์ผ่าตัด, การบริการทางการแพทย์อย่าง Telehealth และการนำข้อมูลดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ร่างกาย
รวมทั้งธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนต่าง ๆ เช่น Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer
ปี 2563 กองทุน Healthcare Innovation เติบโต 42.5%
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์
ทั้งในด้านการรักษาโดยเทคนิคพิเศษ, เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างหุ่นยนต์ผ่าตัด, การบริการทางการแพทย์อย่าง Telehealth และการนำข้อมูลดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ร่างกาย
รวมทั้งธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนต่าง ๆ เช่น Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer
ปี 2563 กองทุน Healthcare Innovation เติบโต 42.5%
5. ด้าน Long Term Global Growth
ด้วยกองทุน Long Term Global Growth จาก Baillie Gifford
เน้นการแสวงหาบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่นจากทั่วโลก ได้เปรียบในการแข่งขัน และด้วยความสามารถของผู้บริหารยอดเยี่ยมในช่วงเวลามากกว่า 5 ปี
เพื่อที่จะสะท้อนถึงศักยภาพออกมาในมูลค่าหุ้นและเป็นที่รับรู้ของตลาดได้อย่างแท้จริง
ปี 2563 กองทุน Long Term Global Growth เติบโต 95.6%
เน้นการแสวงหาบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่นจากทั่วโลก ได้เปรียบในการแข่งขัน และด้วยความสามารถของผู้บริหารยอดเยี่ยมในช่วงเวลามากกว่า 5 ปี
เพื่อที่จะสะท้อนถึงศักยภาพออกมาในมูลค่าหุ้นและเป็นที่รับรู้ของตลาดได้อย่างแท้จริง
ปี 2563 กองทุน Long Term Global Growth เติบโต 95.6%
ซึ่งถ้าถามว่าในอนาคตข้างหน้า เราจะได้เห็นการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใดบ้าง
หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, ยานยนต์ไฟฟ้า, เทคโนโลยีบล็อกเชน, เฮลธ์แคร์
สอดคล้องกับ 5 ตัวอย่างกองทุนเกาะติด Megatrends ที่กล่าวไปข้างต้น นั่นเอง
หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, ยานยนต์ไฟฟ้า, เทคโนโลยีบล็อกเชน, เฮลธ์แคร์
สอดคล้องกับ 5 ตัวอย่างกองทุนเกาะติด Megatrends ที่กล่าวไปข้างต้น นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนใน 5 กองทุนต่างประเทศแนะนำที่พูดถึงนี้
จะได้รับสิทธิพิเศษฟรี! ค่าธรรมเนียมจากการซื้อหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดานใด ๆ ในช่วงเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงบนแอปพลิเคชัน FinVest
ระหว่างวันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2564 เท่านั้น
จะได้รับสิทธิพิเศษฟรี! ค่าธรรมเนียมจากการซื้อหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดานใด ๆ ในช่วงเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงบนแอปพลิเคชัน FinVest
ระหว่างวันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2564 เท่านั้น
• ดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน FinVest App ได้แล้ววันนี้ ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/b25ebb88
• ติดตามความรู้ด้านการลงทุนและเทรนด์เด่น กองทุนที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook FinVest และเว็บไซต์ https://bit.ly/3Ev8A2p
• และสามารถลงทะเบียนเพื่อรับ Link เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” ที่จัดโดย FinVest ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 19.00-20.20 น. เพื่อรับฟังโอกาสทำกำไรช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ได้ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/43b242b3 (ลงทะเบียนได้ถึง 3 ตุลาคม 2564)
คำเตือน
- การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)
- ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน
- กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)
- ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน
- กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
Reference
-เอกสารประสัมพันธ์ FinVest
-เอกสารประสัมพันธ์ FinVest