เราจะใช้ WACC ในการประเมินว่าควรลงทุนในธุรกิจนั้น ๆ หรือไม่

โดยทั่วไปแล้ว ต้นทุนการทำธุรกิจก็จะมีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน

ส่วนแรก คือ ต้นทุนเงินทุนจากเจ้าของ
อีกส่วน ก็คือ ต้นทุนหนี้สินจากการกู้ยืม

สำหรับ WACC จะนำต้นทุนทั้ง 2 ส่วนนี้ มาเฉลี่ยตามน้ำหนักกัน
คำนวณจากสูตรที่ได้คือ WACC = We*Ke + Wd*Kd *(1-T)

แบ่งออกเป็น ต้นทุนเงินทุนจากเจ้าของ
- We มาจาก ส่วนของผู้ถือหุ้น / (ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)
- Ke คือ ผลตอบแทนคาดหวังของเจ้าของ

ต้นทุนหนี้สินจากการกู้ยืม
- Wd มาจาก หนี้สินมีดอกเบี้ย / (ส่วนของผู้ถือหุ้น+หนี้สินที่มีดอกเบี้ย)
- Kd คือ ต้นทุนหนี้สินจากการกู้ยืม
- T คือ ภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามแต่ละประเทศ
ในกรณีของประเทศไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 20

อธิบายแบบเข้าใจง่าย ๆ เลยก็คือ WACC เป็นวิธีคิดต้นทุนเฉลี่ยระหว่างต้นทุนส่วนของเจ้าของและหนี้สินว่ามีเท่าไร เทียบกับผลตอบแทนในใจของเรา เพื่อใช้ตัดสินใจว่าควรจะเข้าไปลงทุนไหมนั่นเอง

ทีนี้มาดูกันว่าในทางทฤษฎี WACC นำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ?

- นำไปประเมินมูลค่าหุ้น โดยเราสามารถใช้ WACC เป็นอัตราดอกเบี้ยคิดลด จากกระแสเงินสดคาดการณ์
- นำไปประเมินความคุ้มค่าจากการลงทุนโครงการต่าง ๆ

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าเราใช้ WACC ในการหาอัตราผลตอบแทนคาดหวัง
ดังนั้นในแง่ของความคุ้มค่าในการลงทุน

ถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังน้อยกว่า WACC แสดงว่าโครงการนั้น ไม่น่าลงทุน
ถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังมากกว่า WACC แสดงว่าโครงการนั้น น่าลงทุน