สรุปวิธีง่าย ๆ ที่ใช้วิเคราะห์ผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุน

สรุปวิธีง่าย ๆ ที่ใช้วิเคราะห์ผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุน

สรุปวิธีง่าย ๆ ที่ใช้วิเคราะห์ผู้บริหาร ก่อนตัดสินใจลงทุน /โดย ลงทุนแมน
เวลามีข่าวการทุจริต ในวงการตลาดหุ้น
“ผู้บริหาร” มักจะกลายเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ถูกเพ่งเล็งจากทุกฝ่าย
ทั้งนี้เพราะผู้บริหาร คือผู้กุมบังเหียน ที่คอยกำหนดทิศทาง และความเป็นไปของบริษัท
ธรรมาภิบาลของผู้บริหาร จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม ถ้าไม่อยากขาดทุน หรือถูกโกง
แล้วเราในฐานะนักลงทุน จะวิเคราะห์ผู้บริหารได้อย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เวลานักลงทุนวิเคราะห์บริษัท ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น
นักลงทุนส่วนใหญ่ จะนิยมวิเคราะห์จากมุมของความแข็งแกร่งของธุรกิจ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ไปจนถึงวิเคราะห์งบการเงิน การเติบโตของรายได้ กำไร และกระแสเงินสด
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์บริษัท จากองค์ประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น ก็เหมือนเรากำลังมองจากกระจกเงาที่สะท้อนผู้บริหารอยู่
ซึ่งถ้าหากผู้บริหาร คิดจะตกแต่งให้ดูดีกว่าความเป็นจริง ก็ย่อมทำได้ไม่ยาก เพราะก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้จะมาถึงเรา
ผู้บริหาร คือกลุ่มคนที่เห็นข้อมูลเหล่านี้ กลั่นกรอง และสรุปออกมาให้เราได้เห็น
แม้แต่บทวิเคราะห์ ที่ถูกกลั่นกรองจากผู้เชี่ยวชาญ ก็อาจเต็มไปด้วยข้อมูลที่ปรุงแต่งมาให้ผิดเพี้ยนหรือเกินจริงได้
ในการวิเคราะห์บริษัท เราจึงควรมองไปยังตัวผู้บริหารโดยตรงด้วย เพื่อให้เป็นการตอกย้ำว่า เงาที่สะท้อนออกมาจากกระจกนั้น เป็นจริงแค่ไหน
แล้วเราจะวิเคราะห์ผู้บริหารได้อย่างไร ?
การวิเคราะห์ผู้บริหารนั้น ไม่มีหลักการที่ตายตัว แต่อย่างน้อยที่สุด ผู้บริหารที่ดี ก็ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่มีประวัติที่ไม่ดี หรือไม่ชอบมาพากล
2. มีความรู้และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ
3. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง
เริ่มกันที่ข้อแรก ผู้บริหารที่ดี.. ต้องไม่มีประวัติที่ไม่ดี
ข้อนี้ก็ตรงไปตรงมาเลยว่า ผู้บริหารของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่นั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดอย่าง CEO ไม่ควรจะมีประวัติด่างพร้อย ในเรื่องของการทุจริต หรือปั่นหุ้นใด ๆ เลย
โดยเราสามารถหาข้อมูลได้ จากการค้นหาในอินเทอร์เน็ต ว่าผู้บริหารของบริษัทที่เรากำลังสนใจ เคยมีข่าวการเข้าไปพัวพันกับการทุจริตต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือเปล่า
ซึ่งถ้าหากผู้บริหารคนนั้น เคยมีตำหนิแล้วละก็ เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทนั้น หรืออย่างน้อยก็ควรจะตั้งธงเฝ้าระวังไว้
มาถึงข้อที่สอง ก็คือผู้บริหาร ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจ ที่ตนเองบริหารอยู่ และสามารถทำได้อย่างที่พูดจริง ๆ
โดยเรื่องนี้ เราสามารถดูได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารในอดีต ผ่านการประชุมผู้ถือหุ้น, งาน Oppday หรือแม้แต่การให้สัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ
แล้วนำไปเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ ที่แสดงออกมาผ่านผลประกอบการของบริษัท ว่าผู้บริหาร ทำสิ่งที่เคยให้สัมภาษณ์ได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ เราอาจวิเคราะห์เรื่องนี้ได้จากวิกฤติ ว่าผู้บริหาร ตัดสินใจอย่างไร และสามารถปรับตัว จนนำพาให้บริษัท รอดพ้นไปได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่น ช่วงล็อกดาวน์ ที่ทำให้ต้องปิดเมือง ส่งผลให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก
แต่ผู้บริหารของบางบริษัท ก็ใช้ประโยชน์จากการที่ผู้คนต้องอยู่แต่บ้าน หาช่องทางการขายสินค้าได้เพิ่มเติม ส่งผลให้บริษัท สามารถสร้างยอดขายให้เติบโตได้สำเร็จ
หรือบางราย ก็ฉวยโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดมาจากคู่แข่งได้ ในยามที่คู่แข่งกำลังทำอะไรไม่ถูก
มาถึงข้อสุดท้าย นั่นก็คือเรื่องของพฤติกรรมผู้บริหาร
ผู้บริหาร ก็คือลูกจ้างของผู้ถือหุ้น เพราะฉะนั้น ผู้บริหารที่ดี ควรโฟกัสเฉพาะในเรื่องของการทำธุรกิจ และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทุกคน
แต่ที่ผ่านมา กลับมีผู้บริหารบางคน ใช้ตำแหน่งในการสร้างผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
ซึ่งในท้ายที่สุด ก็มักจบไม่สวยนัก โดยเฉพาะกับผู้ถือหุ้น
แล้วพฤติกรรมของผู้บริหารแบบไหน ที่เราควรระวัง ?
- ซื้อสินทรัพย์แปลก ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก
ตัวอย่างเช่น บริษัท A ทำธุรกิจสื่อ แต่ผู้บริหารกลับนำเงินของบริษัท ไปซื้อที่ดินในราคาสูง ซึ่งวิธีการนี้ เป็นวิธีการยอดนิยมในการพร่องเงินออกจากบริษัท
นอกจากนี้ ยังรวมถึงกรณีที่ผู้บริหาร ใช้เงินของบริษัทซื้อสินทรัพย์ไว้ใช้ส่วนตัว เช่น คอนโดมิเนียมหรู หรือรถยนต์หรู
หรือกรณี ซื้อทรัพย์สินหรือกิจการ ที่แพงเกินไป ไม่สมเหตุสมผล และไม่คุ้มค่าในเชิงการลงทุน
- เพิ่มทุนหรือกู้เงินเพื่อลงทุน แต่ยกเลิกกะทันหัน
เวลาบริษัทต้องการจะลงทุนโครงการใหม่ ๆ หรือแม้แต่ซื้อกิจการอื่น ถ้าหากว่าเงินสดของบริษัทมีไม่เพียงพอ ก็มักตามมาด้วยการเพิ่มทุนหรือกู้เงิน
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้ง บริษัทอาจมีการยกเลิกดีลที่ประกาศไว้อย่างกะทันหัน โดยอาจจะอ้างว่าดีลไม่มีความคุ้มค่า
ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง ผู้บริหารก็ควรชำระหนี้เงินกู้คืน หรือแม้แต่นำเงินที่เพิ่มทุนมาทำการจ่ายปันผล หรือซื้อหุ้นคืน เสมือนกับว่าเป็นการคืนเงินส่วนนั้นให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้น
แต่ถ้าหากผู้บริหาร แสดงท่าทีนิ่งเฉยกับเงินก้อนนั้น
ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า ผู้บริหารกำลังใช้เงินผิดจุดประสงค์ และอาจมีจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ได้ทำเพื่อผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของเงินตัวจริง..
- ปล่อยกู้เงินแก่บริษัทอื่น ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
การปล่อยกู้เงินถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องดูว่าผู้ที่กู้เงินนั้น “เป็นใคร”
ซึ่งถ้าหากผู้กู้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัท รวมถึงไม่ใช่บริษัทลูก
เราก็ควรจะระวังไว้ว่า อาจมีการไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทเข้าแล้ว..
นอกจากนี้ หากบริษัทมีการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้นกู้ระยะยาว, อสังหาฯ, หุ้นสามัญ เราก็ควรจะพิจารณาว่า มีสัดส่วนมากเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับเงินสดที่บริษัทมีอยู่
เพราะแม้ว่าผู้บริหารจะไม่ได้ตั้งใจโกงเงินจากการลงทุน แต่สุดท้ายแล้ว สภาพคล่อง คือสิ่งที่ทำให้บริษัทเดินต่อไปได้ แม้ผลประกอบการจะขาดทุนก็ตาม
- มีการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างผิดหูผิดตา
ในยุคนี้หลาย ๆ บริษัท เลือกที่จะเจาะตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ สร้างการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งก็มักมีการซื้อสินทรัพย์ในต่างประเทศ เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เพื่อใช้ในธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจว่า สินทรัพย์ที่อยู่ในต่างประเทศเหล่านี้ อาจเล็ดลอดการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีไปได้ และอาจเป็นช่องทางหนึ่ง ในการพร่องเงินออกจากบริษัท
ถ้าหากบริษัทที่เราสนใจ มีการใช้เงินซื้อหรือลงทุน กับสินทรัพย์และธุรกิจที่อยู่ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นแบบผิดหูผิดตา โดยเฉพาะในประเทศแปลก ๆ ที่เราไม่คุ้นเคย หรือติดตามข่าวสารได้ยาก
เราก็ควรจะสงสัยไว้ก่อน ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น
- ให้ความสำคัญกับราคาหุ้น มากจนเกินไป
หน้าที่ของผู้บริหาร คือการบริหารธุรกิจ ซึ่งถ้าหากธุรกิจมีรายได้และกำไรเติบโต ก็จะนำมาซึ่งมูลค่าบริษัท ที่เพิ่มมากขึ้นเอง
เมื่อใดก็ตามที่ผู้บริหารออกมาให้ข่าว สร้างเรื่องราวการเติบโตของบริษัท ชนิดที่เกินความเป็นจริงมากเกินไป
ก็อาจเป็นไปได้ว่า ผู้บริหารคนนั้น กำลังชี้นำราคาหุ้นอยู่
ซึ่งในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริหาร เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องหมั่นสังเกตเอง
โดยดูได้จากข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัท งบการเงิน รายงานประจำปี ตลอดจนการให้สัมภาษณ์ ของตัวผู้บริหาร
ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ เป็นเพียงหลักการเบื้องต้น ในการวิเคราะห์ผู้บริหาร เราอาจพิจารณาผู้บริหารได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เพิ่มเติม
ที่สำคัญคือ นอกจากวิเคราะห์เรื่องความเสี่ยงของพฤติกรรมผู้บริหารแล้ว เราต้องดูให้ครบว่า ผู้บริหารเก่งจริงหรือไม่ และส่อแววทุจริตหรือเปล่า เพราะต่างก็สร้างความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นได้เช่นเดียวกัน
แล้วถ้าผู้บริหารที่เราวิเคราะห์ ดูแล้วเข้าข่ายเรื่องที่กล่าวไป นักลงทุนก็ควรเพิ่มค่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนนั้นไปด้วย
สุดท้ายนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรจำไว้เสมอ เมื่อต้องวิเคราะห์ผู้บริหาร นั่นก็คือ “ไม่ว่าผู้บริหารจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความซื่อสัตย์ เราก็ควรหลีกเลี่ยง”
ดังที่เซียนมี่ หรือคุณทิวา ชินธาดาพงศ์ ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนฉลาดที่ไม่ซื่อสัตย์.. น่ากลัวที่สุด”
Reference
-รายการคุยกับมี่ลงทุนวันนี้มีอะไร EP12 : การวิเคราะห์ผู้บริหาร - Money Chat Thailand!
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon