กลยุทธ์การลงทุน เมื่อการปรับตัวตามตลาด สำคัญกว่าการเอาชนะตลาด

กลยุทธ์การลงทุน เมื่อการปรับตัวตามตลาด สำคัญกว่าการเอาชนะตลาด

SET x ลงทุนแมน
อัตราเงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, สงครามการค้า, ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ หรือแม้แต่กระแส Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าออก ฯลฯ
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลต่อภาพรวมของโลกการลงทุนได้ไม่ยาก
นักลงทุนที่ “อยู่รอด” ในตลาดปัจจุบันนี้..
คงไม่ใช่คนที่เลือกหุ้นที่ถูกต้องที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่มี “ระบบ” รับมือกับความผันผวนได้อย่างยืดหยุ่น
เพื่อขยายโอกาสความเป็นไปได้ของผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ
แล้ว กลยุทธ์การลงทุนใด ที่ตอบโจทย์ในช่วงเวลานี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เราต่างรับรู้ได้ว่า ตลาดปี 2025 กำลังอยู่ในภาวะเปราะบาง ซึ่งแม้จะยังไม่มีวิกฤติที่ชัดเจน แต่แรงเหวี่ยงในโลกของการลงทุน ยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง
ทำให้การลงทุนแบบ Buy and Hold หรือ All-In กลุ่มเดียว อาจไม่ตอบโจทย์นักลงทุนในช่วงเวลานี้
ตรงกันข้าม “ความยืดหยุ่น” กลับกลายเป็นคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ และยังสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่คาดการณ์ได้ยาก
ตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุน ที่ยึดตามแนวทางนี้ ก็เช่น
- Dynamic Asset Allocation หรือการจัดพอร์ตแบบยืดหยุ่น
โดยเน้นปรับพอร์ตการลงทุนตามแต่สภาวะตลาดหรือปัจจัยอื่น ๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนพร้อมจำกัดความเสี่ยง โดยไม่ยึดติดกับสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุนแบบตายตัว
- Tactical Rotation หรือการปรับน้ำหนักตามสภาวะตลาด
โดยเน้นปรับพอร์ตสลับหมุนเวียนการลงทุนตามแต่ภาวะตลาด หรือวัฏจักรเศรษฐกิจนั้น ๆ เช่น ประเภทสินทรัพย์ลงทุน, กลุ่มอุตสาหกรรม ฯลฯ
นอกจากนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือ Buy and Hedge
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ กลยุทธ์การลงทุนที่ผสมผสานระหว่าง “การลงทุน” และ “การป้องกันความเสี่ยง” เพื่อขยายโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว
รู้หรือไม่ว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับโลกเอง ก็เคยใช้แนวคิด Buy and Hedge
ที่แม้จะไม่ได้ Hedge แบบเต็มตัว แต่ก็ได้ใช้ Options และ Derivatives เพื่อบริหารความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสขยายผลตอบแทน
ยกตัวอย่างก็เช่น Put Options มาป้องกันพอร์ตลงทุนช่วงตลาดขาลง
โดยจ่ายเงินค่าพรีเมียมที่ราคาหนึ่งคล้ายกับการจ่ายค่าเบี้ยประกัน เพื่อได้รับสิทธิในการขายหลักทรัพย์ ตามราคาที่กำหนดไว้ สำหรับล็อกกำไรหากตลาดมีการปรับตัวลง
พูดง่าย ๆ นักลงทุนสามารถจำกัดการขาดทุนไว้เพียงแค่ค่าพรีเมียมนั่นเอง
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างการใช้ Put Options ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ กันบ้าง..
- ปี 1993
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ต้องการซื้อหุ้น Coca-Cola (KO) เพิ่มเข้ามาในพอร์ต โดยมองราคาที่เหมาะสมไว้ที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ขณะนั้นหุ้น KO มี 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
ดังนั้นแทนที่จะรอซื้อหุ้นโดยตรง เขาได้ขายสัญญา Put Options ที่ราคาใช้สิทธิ์ 35 ดอลลาร์สหรัฐ และได้รับเงินค่าพรีเมียม 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
วิธีนี้ทำให้เขาสามารถสร้างรายได้ ในขณะที่รอให้หุ้นลดลงถึงราคาที่ต้องการ
ซึ่งมองว่าการใช้ Options ครั้งนั้น ไม่ได้เป็นการเก็งกำไร แต่เป็นการลงทุนในจังหวะที่รอราคาหุ้นลดลง โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉย ๆ
- ในช่วงปี 2004-2008
บริษัท Berkshire Hathaway ภายใต้การบริหารของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้กลยุทธ์ขายสัญญา Put Options ระยะยาวบน 4 ดัชนีหุ้นหลัก
คือ S&P 500 (สหรัฐฯ), FTSE 100 (สหราชอาณาจักร), Euro Stoxx 50 (ยุโรป) และ Nikkei 225 (ญี่ปุ่น) ที่มีมูลค่าสัญญารวมกว่า 37.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
การขาย Put Options ครั้งนั้น เขาได้รับค่าพรีเมียมล่วงหน้ากว่า 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภายใต้ความเชื่อมั่นของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เดิมพันว่า ตลาดหุ้นโลกจะไม่ได้ตกต่ำยาวนานตลอด 10-20 ปี
สะท้อนได้ว่า ความผันผวนของตลาด ไม่ใช่ปัญหา
แต่เป็นโอกาสในการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด อย่างที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำได้สำเร็จมาแล้ว
ถึงตรงนี้ ใคร ๆ ก็สามารถทำเข้าใจกลยุทธ์ Buy and Hedge ให้มากขึ้นได้ง่าย ๆ
พร้อมอัปสกิลโลกการลงทุนให้แกร่งติดอสวุธ รับมือ โลกลงทุนยุคใหม่ ทั้งจาก Talk Stage และ Workshop
อาทิ Workshop หัวข้อ Upskill มือใหม่ใช้ TFEX พิชิตกำไรทุกจังหวะด้วย Option เป็นต้น
ไม่ควรพลาด มหกรรมการลงทุนแห่งปี SET in the City 2025
จัดขึ้นในวันที่ 14-15 มิถุนายน 2025 เวลา 10.00-19.00 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5
ลงทะเบียนร่วมงานฟรี ได้แล้ววันนี้ https://setga.page.link/uzbV
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon