ทำไม Google ยังไม่ยอมแพ้กับแว่นตาอัจฉริยะ ที่เคยล้มเหลวเมื่อ 11 ปีก่อน

ทำไม Google ยังไม่ยอมแพ้กับแว่นตาอัจฉริยะ ที่เคยล้มเหลวเมื่อ 11 ปีก่อน

ทำไม Google ยังไม่ยอมแพ้กับแว่นตาอัจฉริยะ ที่เคยล้มเหลวเมื่อ 11 ปีก่อน /โดย ลงทุนแมน
ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีก่อน Google เคยสร้างกระแสฮือฮาด้วยการเปิดตัว Google Glass
ผลิตภัณฑ์ “แว่นตาอัจฉริยะ” ที่ใคร ๆ ก็จับตามองว่าอาจเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต
แต่ Google Glass นั้นกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และถูกยุติการขายไปในเวลาเพียง 1 ปี
มาวันนี้ Google ตัดสินใจเอาจริงอีกครั้ง โดยประกาศลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท จับมือกับพาร์ตเนอร์ในการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่
คำถามสำคัญคือ อะไรที่ทำให้ Google ยังเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในช่วงปี 2014 Google เปิดตัว Google Glass แว่นตาอัจฉริยะที่สามารถถ่ายภาพ เช็กอีเมล ค้นหาข้อมูล และเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในเครือของ Google ได้
แต่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไร เพราะมีราคาสูงถึง 55,000 บาท แต่ดิไซน์ค่อนข้างแปลกตา ส่วนฟังก์ชันการใช้งานก็ยังน้อย และก่อให้เกิดความกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น
ผู้บริโภคจึงไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องซื้อมาใช้ แถมยังเทียบไม่ได้กับสมาร์ตโฟนที่มีอยู่ในมือ
แต่พอเวลาผ่านไป เทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปมาก ไม่ว่าจะเป็น
- Generative AI ที่สามารถวิเคราะห์และโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ที่ผสมผสานความเป็นจริงกับโลกเสมือน
ทำให้หลายบริษัทเริ่มมองว่า แว่นตาอัจฉริยะไม่ใช่แค่ไอเดียล้ำยุคเหมือนเมื่อก่อน แต่อาจเป็นอุปกรณ์ที่มาแทนที่สมาร์ตโฟนได้จริงในอนาคต
ตัวอย่างที่ชัดเจนสุด คงจะเป็น Meta ที่จับมือกับ EssilorLuxottica เจ้าของแบรนด์ Ray-Ban ผลิตแว่นตาอัจฉริยะในชื่อ Ray-Ban Meta
ซึ่งหลังจากวางขายมาตั้งแต่ปี 2023 ก็สามารถทำยอดขายทะลุ 2 ล้านอันได้แล้ว และยังตั้งเป้าหมายการผลิตให้ได้ถึง 10 ล้านอันต่อปี ภายในปี 2026 อีกด้วย
หรือแม้แต่ Apple ก็มีข่าวว่าอยู่ระหว่างการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะ เพื่อออกวางขายในช่วงปี 2026 เช่นกัน (คนละตัวกับ Apple Vision Pro)
เมื่อเทคโนโลยีลงตัว ประกอบกับคู่แข่งเข้ามาแย่งชิงพื้นที่กันเรื่อย ๆ จึงทำให้ Google ตัดสินใจกลับลงสู่สนามด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
เรื่องแรก คือ “การออกแบบแว่นตาให้คนอยากใส่”
หนึ่งในจุดอ่อนของ Google Glass คือ ดิไซน์ที่ไม่น่าดึงดูด ทำให้หลายคนไม่อยากสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
แต่คราวนี้ Google เลือกที่จะจับมือกับแบรนด์แว่นตาแฟชั่นชั้นนำ เหมือนที่ Meta ทำ
โดยในเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมา ได้ประกาศลงทุนมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อร่วมกับ Warby Parker บริษัทแว่นตาจากสหรัฐฯ ในการผลิตแว่นตาอัจฉริยะ มาวางขายตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป
อีกทั้งยังร่วมกับ Gentle Monster แบรนด์แว่นตาจากเกาหลีใต้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องดิไซน์ล้ำสมัยและภาพลักษณ์อันหรูหรา อีกรายหนึ่งด้วย
ซึ่งน่าจะทำให้ Google สามารถออกแบบแว่นตาอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ด้านแฟชั่นได้ดีขึ้นนั่นเอง
เรื่องถัดมา คือ “ฟีเชอร์ที่น่าใช้งาน”
ในงานประชุมนักพัฒนา Google I/O 2025 ที่ผ่านมานั้น ทาง Google ได้มีการแสดงเดโมของแว่นตาอัจฉริยะ
โดยนำเอาเทคโนโลยี Gemini AI มาเป็นแกนกลางของผลิตภัณฑ์ ทำให้เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวอยู่เคียงข้างตลอด
ซึ่งฟีเชอร์น่าสนใจที่ Google นำเสนอตัวอย่าง เช่น
- การแปลภาษาแบบเรียลไทม์
- การบอกเส้นทาง
- การถ่ายรูปด้วยกล้องที่ฝังอยู่ในกรอบแว่น
- การค้นหาข้อมูลจากแช็ตบอต
โดยทั้งหมดนี้สามารถสั่งการผ่านคำสั่งเสียงได้ และแสดงผลบนเลนส์แว่นตาด้วยเทคโนโลยี AR
นอกจากนั้น ฟีเชอร์เหล่านี้จะทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android XR แพลตฟอร์มที่ Google พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับอุปกรณ์สวมใส่โดยเฉพาะ
รวมไปถึง มีการจับมือกับพาร์ตเนอร์ระดับโลก ในการผลิตฮาร์ดแวร์และชิปเซตสำหรับอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Qualcomm, Sony
ซึ่งก็คงทำให้ Google มีโอกาสสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง รองรับการใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น
เรื่องสุดท้าย คือ “ราคาที่เข้าถึงได้และคุ้มค่า”
ในอดีต Google Glass ถูกตั้งราคาขายสูงถึง 55,000 บาท และหลายคนรู้สึกว่าแพงเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ
แม้ตอนนี้ Google ยังไม่ประกาศราคาขายแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ แต่เชื่อว่าจะต้องกำหนดราคาให้สามารถแข่งขันกับรายอื่นได้
ลองมองไปที่ Ray-Ban Meta นั้นมีราคาอยู่ที่ 10,000-16,000 บาท หรือแว่นตา AR รุ่นใหม่ที่ Meta กำลังเตรียมวางขาย ก็คาดว่าจะมีราคาราว 33,000-45,000 บาท
ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ก็คงทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าที่จะซื้อมาใช้งานมากขึ้น
ทั้งนี้ Google เองก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
โดยแว่นตาที่ร่วมมือกับ Warby Parker น่าจะเน้นไปที่ความเรียบง่าย และราคาไม่สูงมากนัก
ขณะที่แว่นตาที่ร่วมมือกับ Gentle Monster คงเน้นไปที่แฟชั่น ความหรูหรา จับกลุ่มฐานลูกค้าพรีเมียม
จากเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้
จึงทำให้ Google เชื่อว่าพวกเขาสามารถนำบทเรียนราคาแพงในอดีต มาพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะให้ดีกว่าเดิมได้
ซึ่งเราคงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า Google จะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกับ Meta, Apple หรือผู้เล่นรายอื่น ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ที่แน่ ๆ คือ สงครามแว่นตาอัจฉริยะที่กำลังก่อตัวขึ้น
อาจเป็นตัวเร่งให้โลกเข้าสู่ยุคใหม่
จากที่เทคโนโลยี เคยอยู่บนมือหรือในกระเป๋า
วันหนึ่ง มันอาจขึ้นมาอยู่บนใบหน้าอย่างแนบเนียน และไม่เคอะเขิน จนเราแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำไป..
╔═══════════╗
ติดตามข่าวเศรษฐกิจแบบเน้น ๆ จากหลายเพจได้ใน Blockdit - คอนเทนต์แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเป็นประจำ 2 ล้านคน ลองใช้ฟรี blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
TikTok - tiktok.com/@longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงทุนแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.cnbc.com/2025/05/21/sergey-brin-google-glass-android-xr.html
-https://techcrunch.com/2025/05/20/google-commits-150m-to-develop-ai-glasses-with-warby-parker/
-https://www.theverge.com/news/613292/meta-ray-ban-2-million-10-million-capacity-subscription-essilor-luxottica-earnings
-https://www.businessinsider.com/google-competing-with-meta-ray-bans-new-warby-parker-partnership-2025-5

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon