
Nordic Model ทำไมธุรกิจ จากประเทศเล็ก ถึงกลายเป็นบริษัทระดับโลก
Nordic Model ทำไมธุรกิจ จากประเทศเล็ก ถึงกลายเป็นบริษัทระดับโลก /โดย ลงทุนแมน
ณ ปลายสุดของยุโรปเหนือ มีดินแดนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ป่าไม้หนาทึบ และอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี นั่นคือ นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก
ณ ปลายสุดของยุโรปเหนือ มีดินแดนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ป่าไม้หนาทึบ และอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี นั่นคือ นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก
กลุ่มประเทศที่คนทั่วไปอาจนึกถึงเรื่องรัฐสวัสดิการ และคุณภาพชีวิตที่ดี
แต่ความจริงแล้ว พื้นที่เล็ก ๆ เหล่านี้กลับเป็นแหล่งกำเนิดของแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลระดับโลก และเปลี่ยนโฉมตลาดในหลากหลายวงการ
ไม่ว่าจะเป็น
LEGO ของเล่นในวัยเด็กของใครหลายคน
IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
Spotify ผู้นำการฟังเพลงยุคดิจิทัล
Volvo แบรนด์รถยนต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย
H&M ร้านเสื้อผ้า Fast Fashion
Maersk ยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งทางเรือ
KONE ผู้นำด้านลิฟต์และบันไดเลื่อนของโลก
Pandora แบรนด์เครื่องประดับชื่อดัง
LEGO ของเล่นในวัยเด็กของใครหลายคน
IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
Spotify ผู้นำการฟังเพลงยุคดิจิทัล
Volvo แบรนด์รถยนต์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย
H&M ร้านเสื้อผ้า Fast Fashion
Maersk ยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่งทางเรือ
KONE ผู้นำด้านลิฟต์และบันไดเลื่อนของโลก
Pandora แบรนด์เครื่องประดับชื่อดัง
หรือแม้แต่ Novo Nordisk บริษัทยาที่ใหญ่เป็น TOP 5 ของโลก จากกระแสยาลดน้ำหนักที่มาแรง
แล้วทำไม ประเทศเล็ก ๆ เหล่านี้ถึงสามารถสร้างบริษัทระดับโลกได้มากมาย ?
อะไรคือเคล็ดลับ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
อะไรคือเคล็ดลับ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้บริษัทจากกลุ่มประเทศนอร์ดิก เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และเดนมาร์ก ประสบความสำเร็จในระดับโลก คือ จำนวนประชากรและตลาด ที่เล็กเกินกว่าจะพึ่งพาเพียงตลาดในประเทศได้
หากดูจำนวนประชากรในปัจจุบัน
เดนมาร์ก มีประชากรประมาณ 6.0 ล้านคน
ฟินแลนด์ ประมาณ 5.6 ล้านคน
นอร์เวย์ ประมาณ 5.6 ล้านคน
สวีเดน ประมาณ 10.7 ล้านคน
รวมกันทั้งภูมิภาค ก็แค่ประมาณ 28 ล้านคน
เดนมาร์ก มีประชากรประมาณ 6.0 ล้านคน
ฟินแลนด์ ประมาณ 5.6 ล้านคน
นอร์เวย์ ประมาณ 5.6 ล้านคน
สวีเดน ประมาณ 10.7 ล้านคน
รวมกันทั้งภูมิภาค ก็แค่ประมาณ 28 ล้านคน
เมื่อเทียบกับประเทศไทยเรา มีประชากรกว่า 70 ล้านคน
หรือมากกว่าประเทศนอร์ดิกทั้งหมดรวมกันถึง 2.5 เท่า
หรือมากกว่าประเทศนอร์ดิกทั้งหมดรวมกันถึง 2.5 เท่า
และถ้าเทียบเรื่อง ขนาดพื้นที่ประเทศ
สวีเดน มีพื้นที่ประมาณ 450,000 ตารางกิโลเมตร
นอร์เวย์ ประมาณ 385,000 ตารางกิโลเมตร
ฟินแลนด์ ประมาณ 338,000 ตารางกิโลเมตร
เดนมาร์ก ประมาณ 43,000 ตารางกิโลเมตร
สวีเดน มีพื้นที่ประมาณ 450,000 ตารางกิโลเมตร
นอร์เวย์ ประมาณ 385,000 ตารางกิโลเมตร
ฟินแลนด์ ประมาณ 338,000 ตารางกิโลเมตร
เดนมาร์ก ประมาณ 43,000 ตารางกิโลเมตร
ในขณะที่ประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 513,000 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าทุกประเทศในกลุ่มนอร์ดิก
ทำให้บริษัทต่าง ๆ เวลาจะตัดสินใจ วางกลยุทธ์ หรือดำเนินการอะไร จึงเหมือนถูกบังคับให้คิดแบบมุ่งสู่ตลาดโลกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ
โดยบริษัทชั้นนำในนอร์ดิก สร้างรายได้จากในประเทศเฉลี่ยเพียงแค่ 2% เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น Pandora แบรนด์เครื่องประดับจากเดนมาร์ก ที่เติบโตจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกในเวลาแค่ไม่กี่ปี
แม้ยอดขายในประเทศบ้านเกิด จะคิดเป็นแค่ 1% ของรายได้ทั้งหมด แต่พวกเขากลับขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และยั่งยืน โดยบริษัททำตลาดในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก
อีกเคล็ดลับสำคัญคือ ความคลั่งไคล้เทคโนโลยี ที่ทำให้พวกเขาพร้อมปรับตัวต่อโลกอยู่เสมอ
บริษัทในแถบนอร์ดิก มักเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ลองใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติในโรงงาน หรือบริการคลาวด์ในธุรกิจ
ตัวอย่างเช่น บริษัท LEGO ที่เปลี่ยนจากไม้ มาใช้พลาสติกในการทำของเล่นทันที หลังช่วงสงครามโลก
ข้อมูลจาก Eurostat ระบุว่า บริษัทในกลุ่มนอร์ดิกใช้บริการคลาวด์สูงถึง 73%
เทียบกับค่าเฉลี่ยของ สหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ที่เพียง 45%
เทียบกับค่าเฉลี่ยของ สหภาพยุโรป (EU) ที่อยู่ที่เพียง 45%
นี่คือสิ่งที่ช่วยให้บริษัทนอร์ดิก พร้อมไปในตลาดต่างประเทศ ได้เร็วกว่าคู่แข่งจากประเทศใหญ่ ๆ ที่อาจยังเน้นตลาดในประเทศเป็นหลัก
แล้วเมืองอย่าง สตอกโฮล์ม ของสวีเดน และ เฮลซิงกิ ของฟินแลนด์ ก็ยังกลายเป็นศูนย์กลางของสตาร์ตอัป ที่ดึงดูดเงินทุนเป็นอันดับต้น ๆ ของยุโรป ทั้งที่เมืองมีขนาดเล็กกว่าหลายเมืองใหญ่ในโลก
บริษัทชื่อดังอย่าง Spotify, Klarna, Rovio และ Supercell ล้วนเติบโตจากภูมิภาคนี้
เพราะพวกเขาเข้าใจว่าในโลกที่เทคโนโลยีเปลี่ยนทุกวัน
การ “รอปรับตัว” นั้นสายเกินไปแล้ว
การ “รอปรับตัว” นั้นสายเกินไปแล้ว
สิ่งที่ต้องทำคือ การวิ่งนำไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทนอร์ดิกหลายราย ต่างโอบรับนวัตกรรม และแข่งขันในเวทีโลกได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทนอร์ดิกหลายราย ต่างโอบรับนวัตกรรม และแข่งขันในเวทีโลกได้
และรัฐบาลก็มีบทบาทสำคัญ แม้จะเก็บภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราสูง เพื่อสนับสนุนรัฐสวัสดิการ
แต่ภาษีนิติบุคคล กลับอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง
และระบบราชการถูกออกแบบให้กระชับ คล่องตัว มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส เพื่อเอื้อต่อการลงทุน การดำเนินธุรกิจ และการสร้างนวัตกรรม
โดยรัฐบาลจะพยายามออกแบบระบบเศรษฐกิจและสังคมให้มีความสมดุลกัน
ซึ่งการเป็นประเทศแห่งรัฐสวัสดิการ และมีรัฐบาลที่ส่งเสริมผู้ประกอบการ ก็ยังทำให้ประชาชนในประเทศ รู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะออกมาสร้างธุรกิจของตัวเองด้วย
อีกหนึ่งจุดแข็งของประเทศในกลุ่มนอร์ดิกคือ ระดับเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก
ไม่ว่าจะเป็น เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ต่างก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจเปิด และมีกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับผู้ประกอบการ
พูดง่าย ๆ คือ ใครอยากเริ่มธุรกิจ ก็เริ่มได้ง่าย
ใครอยากค้าขายกับโลก ก็ไม่มีข้อจำกัดมากมายให้ต้องกังวล
ใครอยากค้าขายกับโลก ก็ไม่มีข้อจำกัดมากมายให้ต้องกังวล
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ธุรกิจจากประเทศเล็ก ๆ
สามารถเติบโตไประดับโลกได้
สามารถเติบโตไประดับโลกได้
นอกจากนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทนอร์ดิก ยังมีความพิเศษ
โดย 80% ของบริษัทขนาดใหญ่ในนอร์ดิก มีผู้ถือหุ้นเป็น ผู้ถือหุ้นระยะยาว (เทียบกับในสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนเพียง 20%)
หลายบริษัทถูกควบคุมโดยครอบครัวของผู้ก่อตั้ง หรือมูลนิธิ เช่น
LEGO (ตระกูล Christiansen)
Novo Nordisk (ควบคุมโดยมูลนิธิ)
LEGO (ตระกูล Christiansen)
Novo Nordisk (ควบคุมโดยมูลนิธิ)
โครงสร้างแบบนี้ ช่วยให้บริษัทไม่ต้องกังวลกับแรงกดดันระยะสั้นจากตลาดทุน หรือนักลงทุนระยะสั้น และมีเวลาไปโฟกัสที่การพัฒนาเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ หรืออะไรก็ตามที่มองว่าดีต่อบริษัทในระยะยาวมากกว่า
หลาย ๆ ปัจจัยที่กล่าวมา ล้วนส่งเสริมกัน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้าง ขยาย และผลักดันธุรกิจ จากเมืองเล็ก ๆ ของยุโรปเหนือ ให้สามารถแข่งขัน จนขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าของเวทีโลก..
สุดท้ายแล้ว ความสำเร็จของบริษัทนอร์ดิก ไม่ได้มาจากประเทศใหญ่หรือมีคนเยอะ แต่มาจากวิธีคิดที่แตกต่าง
เพราะตลาดในประเทศเล็ก พวกเขาจึงต้องคิดไกล บุกตลาดโลกตั้งแต่วันแรก
เพราะโลกหมุนเร็ว พวกเขาจึงต้องกล้าลองเทคโนโลยีใหม่ก่อนใคร
เพราะรัฐเข้าใจธุรกิจ จึงสร้างระบบที่เอื้อต่อคนทำงาน และการริเริ่มธุรกิจ
เพราะมีผู้ถือหุ้นสายระยะยาว บริษัทจึงวางแผนได้ไกล
และเพราะองค์กรปรับตัวเก่ง จึงสามารถอยู่รอดได้ตามยุคสมัย
ทั้งหมดนี้รวมกัน กลายเป็นสูตรลับ Nordic Model ที่ทำให้บริษัทเล็ก ๆ จากดินแดนเหนือโลก ก้าวขึ้นไปเป็นผู้เล่นระดับโลกได้อย่างน่าสนใจ..
Tag: Nordic Model