“การลงทุนคือการตัดสินใจในความไม่แน่นอน หากเราต้องการผลตอบแทน 8% ต่อปี หุ้นไทยช่วงนี้ถือว่าเหมาะสม”

“การลงทุนคือการตัดสินใจในความไม่แน่นอน หากเราต้องการผลตอบแทน 8% ต่อปี หุ้นไทยช่วงนี้ถือว่าเหมาะสม”

“การลงทุนคือการตัดสินใจในความไม่แน่นอน
หากเราต้องการผลตอบแทน 8% ต่อปี หุ้นไทยช่วงนี้ถือว่าเหมาะสม”
โดยคุณภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง, นายกสมาคม ThaiVI และ คุณพสุวุฒิ วิไลนิรันดร์, รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายบริหารการลงทุนส่วนบุคคล จาก Innovest X บริษัทหลักทรัพย์ในกลุ่ม SCBX เครือเดียวกับธนาคารไทยพาณิชย์ จากงานเสวนา “ตีแตกหุ้นไทย ON STAGE”
ทั้งสองได้ให้มุมมองตลาดหุ้นไทย ที่ขึ้นมา 1,200 จุดไว้ว่า
- ในระยะสั้น
ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้น แต่ตลาดหุ้นในประเทศอื่น ๆ ก็ทยอยฟื้นตัวเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ทรัมป์ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้า
ซึ่งในช่วงแรกตลาดมีความกังวล แต่เมื่อเริ่มชัดเจนว่าการประกาศดังกล่าวเป็นเพียงการ "Bluff"
ตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในอาเซียนที่เริ่มฟื้นตัว นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ หุ้นขนาดใหญ่ในไทย เช่น หุ้นในกลุ่ม SET50 ก็ทยอยปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะหุ้นเด่นอย่าง Gulf ที่มีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แล้วถ้าถามว่า ตอนนี้ยังน่าลงทุนอยู่ไหม ?
ก็ต้องบอกว่า ดัชนี SET บริเวณ 1,200 จุด และค่า P/E ยังอยู่ที่ราว 12 - 13 เท่า ถือว่าถูกในเชิง Valuation เมื่อเทียบกับอดีตและตลาดหุ้นในภูมิภาค
- ในระยะยาว
หากนักลงทุนต้องการกระแสเงินสดจากปันผลปีละ 8% การซื้อหุ้นในจังหวะนี้ยังถือว่า ค่อนข้างน่าสนใจ
แม้หุ้นไทยจะมีความน่าสนใจในแง่ปันผลและมูลค่าพื้นฐาน แต่ปัจจุบันก็ยังมองว่าไม่ได้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนมากนัก และอาจเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวในรอบถัดไป เพราะถึงแม้หุ้นดีแต่หากไม่มีสภาพคล่องรองรับ ราคาก็อาจไม่ได้ไปต่อในระยะสั้น
ในขณะที่คุณบอล ภาคย์ภูมิ ให้มุมมองเกี่ยวกับการที่หุ้นขึ้นรอบนี้ไว้ว่าการที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบนี้ แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ อย่างชัดเจน
เพราะไม่ได้เป็นการขึ้นเฉพาะบางกลุ่มแต่เป็นการกระจายตัวทั่วทั้งตลาด ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงมากกว่า และเป็นสัญญาณของแรงสนับสนุนที่มีฐานกว้างขึ้น
โดยแรงขับเคลื่อนหลักในการขึ้นรอบนี้ มาจาก
- Fund Flow ต่างชาติ
แม้ในภาพรวมยอด Net Sale ของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นลบ แปลว่ายังไม่ได้มีเงินทุนไหลเข้าอย่างจริงจัง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณของแรงซื้อบางส่วนที่กลับเข้ามาในกลุ่มหุ้นพื้นฐานดี
- กองทุนสถาบันในประเทศ
โดยเฉพาะกองทุนสถาบัน เช่น THAI ESGX พอช่วยพยุงและผลักดันตลาดได้ แต่แรงขายที่ยังมีต่อเนื่อง กลับกลายเป็นปัจจัยกดดันสำคัญที่ฉุดตลาดไม่ให้ไปต่อ
เพราะหลายคนยังมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว และเริ่มมีความกังวลว่า ไตรมาส 3 อาจจะหนักยิ่งกว่าเดิม จึงยังไม่มีใครกล้าทุ่มน้ำหนักลงทุนแบบเต็มไม้เต็มมือ
แล้ว Valuation ตอนนี้เป็นอย่างไร ? ตอนนี้ดัชนีหุ้นไทยอยุ่ที่ 1,200 จุด มันอยู่กลาง ๆ และห้นใหญ่ ๆ หลายตัว เช่น กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก โรงพยาบาล ถ้าอยากได้ผลตอบแทน 8% ต่อปีคือถือว่าเหมาะสมลงทุนได้ในระยะยาว
แล้วทั้งสองคนมีมุมมอง Stock Selection หรือ การเลือกหุ้นอย่างไร ?
คุณบอล-ภาคย์ภูมิ มองว่า
ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับสูง การเลือกหุ้นจึงต้องเน้นที่บริษัทที่สามารถแข่งขันและเติบโตได้จริง ท่ามกลางกำลังซื้อหดตัว และต้นทุนธุรกิจที่มีความเสี่ยงว่าจะมากขึ้น
สำหรับปีนี้ มุมมองกำไรต่อหุ้น (EPS) ตลาดหุ้นไทยถูกประเมินไว้ที่ 85 บาท
เท่ากับว่า Earning Yield Gap ของหุ้นไทย สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นหลายตัวในตลาดเริ่มอยู่ในระดับที่ถูกแล้ว เมื่อเทียบกับความเสี่ยง
หลังจากดูระดับ Valuation แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อคือ คุณภาพของบริษัท และ ศักยภาพในการเติบโตของกำไรในระยะยาว
โดยเราควรมองหา
-หุ้นที่มีพื้นฐานแกร่ง
-มีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรม
-มีพื้นที่ให้เติบโตได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นจากนวัตกรรม โมเดลธุรกิจ หรือการขยายตลาด
ประเด็นที่น่าสนใจคือเรื่อง Inflation ที่ซ่อนอยู่ในหลายธุรกิจ อาจโดนผลกระทบเรื่องราคา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ราคาที่ลูกค้ามองว่าแพงและเข้าถึงได้น้อยลง อัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น ค่ารักษาพยายาลที่แพงขึ้น การท่องเที่ยวไทยที่ค่าเงินบาทแข็งมาก ๆ ทำให้ต่างชาติเข้ามาเที่ยวน้อยลง
ส่วนคุณโน๊ต พสุวุฒิ มองว่า
สิ่งสำคัญในการประเมินธุรกิจไม่ใช่แค่การเติบโตในช่วงสั้น ๆ แต่คือการมองข้อจำกัดในการเติบโต ผ่านมุมมองว่าธุรกิจจะสามารถแข่งขันได้อีกกี่ปี และพื้นที่ในการแข่งขัน เช่น ธุรกิจนั้นมีศักยภาพในเขตเมือง หรือขยายได้นอกเมือง
หากธุรกิจไหนมีคู่แข่งจำนวนมากกระจายเต็มตลาด
อาจตีความได้ว่าธุรกิจนั้นไม่ได้แข็งแกร่งจริงในระดับประเทศ
และหากมองในเชิงโครงสร้าง มีเพียง 4 กลุ่ม ในตลาดหุ้นไทยที่ดูจะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างต่อเนื่อง และมี MOAT ที่แข็งแรง ได้แก่
- พลังงาน
- สื่อสาร
- ธนาคาร
- ค้าปลีก
กลุ่มเหล่านี้มีจุดร่วมคือ คู่แข่งน้อย มีอำนาจต่อรองสูงในระบบเศรษฐกิจ จึงถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่สามารถยืนระยะได้ดีในระยะยาว
ปัจจุบัน การที่จะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นเรื่องยาก เพราะสินทรัพย์ทางเลือกมีมากขึ้น ทำให้ต้องเราอาจจะต้องปรับลดผลตอบแทนที่คาดหวังลงให้เหมาะกับสถานการณ์
ซึ่งเราจำเป็นต้องคัดเลือกตะกร้าหุ้นคุณภาพดีที่ลงทุนได้ ไม่ได้มองไปทั้งตลาด
และสิ่งสำคัญ เราต้องมีโจทย์ในใจตั้งแต่แรกว่า เราเข้าไปลงทุนในบริษัทเพราะอะไร..
#ตีแตกonstage

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon