
ทักษะการเงิน ที่ทุกคนควรมี แม้โรงเรียนอาจไม่ได้สอน
ทักษะการเงิน ที่ทุกคนควรมี แม้โรงเรียนอาจไม่ได้สอน /โดย ลงทุนแมน
เมื่อพูดถึง “ทักษะการเงิน” หลายคนอาจเบือนหน้าหนี
เพราะมองว่า มันเข้าใจยากและเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น
เมื่อพูดถึง “ทักษะการเงิน” หลายคนอาจเบือนหน้าหนี
เพราะมองว่า มันเข้าใจยากและเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้ว ด้วยทักษะนี้ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้
และบางครั้งสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยซ้ำ
และบางครั้งสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยซ้ำ
เช่น จากคนที่มีหนี้เยอะ หากรู้วิธีการจัดการหนี้อย่างการรวมหนี้
ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม ทำให้หายใจคล่องขึ้น
ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเดิม ทำให้หายใจคล่องขึ้น
หรือฟรีแลนซ์ที่มีรายได้เยอะ แต่อยากมีเงินเข้าบัญชี แม้ว่าจะไม่ได้ทำงาน
หากรู้เรื่องการลงทุน ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก
หากรู้เรื่องการลงทุน ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้ไม่ยาก
แล้วทักษะการเงินที่ทุกคนควรมี คืออะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1. รู้จักการทำ “งบการเงินส่วนบุคคล”
ก่อนที่เราจะวางแผนหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง สิ่งแรกที่ควรทำอยู่เสมอคือ การรู้จักตัวเอง ชีวิตด้านการเงินก็เช่นกัน
โดยวิธีการรู้จักตัวเองด้านการเงินที่ดี เริ่มได้จากการทำงบการเงินส่วนบุคคล
ซึ่งงบการเงินส่วนบุคคลแบ่งได้ 2 ประเภทหลักคือ
- งบแสดงสถานะทางการเงินส่วนบุคคล หรืองบที่แสดงฐานะการเงินของเรา ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน และความมั่งคั่ง
จำสมการง่าย ๆ ว่า สินทรัพย์รวม - หนี้สินรวม = ความมั่งคั่ง
เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ หากเรามีบ้าน 5 ล้านบาท เป็นสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว แล้วยังต้องผ่อนหนี้ธนาคารอีก 1 ล้านบาท แสดงว่าเราเป็นเจ้าของบ้านจริง ๆ เท่ากับ 4 ล้านบาท
หากทำเป็นงบแสดงสถานะทางการเงินส่วนบุคคล จะได้ตามนี้
สินทรัพย์รวม = มูลค่าบ้าน = 5 ล้านบาท
หนี้สินรวม = 1 ล้านบาท
ความมั่งคั่ง = 5 - 1 = 4 ล้านบาท
หนี้สินรวม = 1 ล้านบาท
ความมั่งคั่ง = 5 - 1 = 4 ล้านบาท
ข้อดีของการทำงบแสดงสถานะทางการเงินส่วนบุคคลคือ เราจะรู้ว่าสุขภาพการเงินของตัวเองเป็นอย่างไร แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ หนี้สินมีอะไรบ้าง จะได้เตรียมจัดการอย่างเหมาะสม
และหากลงรายละเอียดลึกลงไปอีก เช่น แบ่งประเภทสินทรัพย์เป็น สินทรัพย์สภาพคล่อง สินทรัพย์เพื่อการลงทุน จะทำให้เรารู้ว่า ปัจจุบันเราลงทุนมากหรือน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทั้งหมด
- งบรายรับรายจ่าย หรืองบที่แสดงให้เห็นว่าเงินเข้า-ออกในบัญชีเรานั้น เป็นจำนวนเท่าไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง
ซึ่งรายจ่ายสามารถแบ่งได้แยกย่อยเป็น รายจ่ายคงที่ และรายจ่ายผันแปร รวมถึงแบ่งตามการใช้งานได้อีกด้วย เช่น ค่าครองชีพ, ค่าความบันเทิง และค่าออมลงทุน
ข้อดีคือ จะทำให้เรารับรู้ว่า กระแสเงินสดเป็นอย่างไร ถ้ามันติดลบ เราสามารถลดรายจ่ายส่วนไหนได้บ้าง
และเมื่อเรานำทั้ง 2 งบมาดูด้วยกัน ก็จะใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็น การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ หรือวัดความสามารถในการใช้ชีวิต หากไม่มีรายได้เข้ามาเลย
2. การเข้าใจและรู้จักวิธีการจัดการหนี้
การเข้าใจหนี้คือ รู้ที่มาของหนี้ต่าง ๆ ว่าสถาบันการเงินนั้น มีหลักคิดหรือคำนวณอย่างไร เพื่อจะได้รับมืออย่างถูกต้อง
เช่น ดอกเบี้ยรถยนต์และดอกเบี้ยบ้าน คิดไม่เหมือนกัน
การผ่อนรถยนต์จะเป็นการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่อน ขณะที่การผ่อนบ้านจะคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นและลดดอก
ทีนี้พอเราเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ถ้าเราอยากให้ดอกเบี้ยน้อยลง ก็จะไปเร่งจ่ายหนี้บ้านแทน เพราะยิ่งเราเอาเงินไปชำระหนี้มากและเร็วเท่าไร ดอกเบี้ยที่เราจ่ายก็จะลดลง
วิธีการจัดการหนี้ก็มีหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างก็มีข้อดีที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
- การรวมหนี้ หรือการนำหนี้ที่เรามีอยู่จากหลาย ๆ ที่ทั้งในและนอกระบบ เอามารวมกันแล้วขออนุมัติสินเชื่อเพื่อปิดดอกเบี้ยแพง
- ขยายเวลาชำระหนี้ เหมาะกับสถานการณ์ที่เรามีรายได้ลดลง เพื่อจะได้ลดจำนวนการชำระหนี้ต่อเดือนลง
3. การจัดการบัตรเครดิต
บัตรเครดิต คือสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยมองว่าเป็นตัวทำให้ชีวิตด้านการเงินไม่ดี เพราะมันส่งเสริมการใช้จ่ายเกินตัว
อย่างไรก็ตาม หากเราจัดการบัตรเครดิตดี จะพบว่ามีข้อดีมากมายเช่นกัน ตั้งแต่
- เพิ่มสภาพคล่องระยะสั้น โดยเรานำเงินสดที่ไม่ต้องจ่ายไปก่อน ไปฝากธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยก่อนได้
- ลดค่าใช้จ่าย เพราะบางบัตรเครดิตให้เครดิตเงินคืน
- สร้างประวัติทางการเงิน หากชำระตรงต่อเวลาและครบจำนวน จะเป็นผลดีต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
- ลดค่าใช้จ่าย เพราะบางบัตรเครดิตให้เครดิตเงินคืน
- สร้างประวัติทางการเงิน หากชำระตรงต่อเวลาและครบจำนวน จะเป็นผลดีต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
4. การตั้งเป้าหมายชีวิตด้านการเงิน
แม้จะเป็นเรื่องที่ดูพื้น ๆ จนหลายคนละเลย แต่การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน จะทำให้เราวางแผนกับชีวิตได้อย่างเป็นระบบ
เช่น ถ้าเรามีเป้าหมายใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท หลังเกษียณ
1 ปีเราจะใช้เงิน = 30,000 x 12 = 360,000 บาท
1 ปีเราจะใช้เงิน = 30,000 x 12 = 360,000 บาท
เราก็ต้องมาคิดต่อแล้วว่า ควรมีเงินก้อนกี่บาทดี เพื่อเอาเงินไปลงทุน และได้เงินปันผลครอบคลุมค่าใช้จ่าย
ถ้าคิดว่า ปันผลปีละ 4% พอเป็นไปได้ แสดงว่าต้องมีเงิน 360,000 / 0.04 = 9 ล้านบาท
พอได้ตัวเลข 9 ล้านบาท ก็จะทำให้เราคิดแล้วว่า ควรออมเดือนละเท่าไร ผลตอบแทนควรได้ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี ถึงจะไปสู่เป้าหมายนั้น
เช่น ถ้าเราอายุ 30 ปี การลงทุนเดือนละ 10,000 บาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปี ก็ถึงเป้าหมายได้แล้ว
ทีนี้เราก็เอาผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ต่อปีมาคิดต่อว่า ควรสร้างพอร์ตอย่างไรดี ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่มีความเสี่ยงต่ำสุด
เช่น เน้นหุ้นขนาดใหญ่ แทนหุ้นขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูง และกระจายไปยังตราสารหนี้ต่าง ๆ
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การมีเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้เราวางแผนอย่างเป็นระบบและวัดผลได้
5. การลงทุน
หากมีคนพูดว่า หนึ่งในวิธีการมีอิสรภาพทางการเงินคือ การลงทุน คำพูดนี้ก็คงไม่เกินจริง
นึกภาพง่าย ๆ ว่ามีคน 2 คนคือ
นาย A ออมเดือนละ 10,000 บาท
นาย B ลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี
นาย B ลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี
หากทั้งคู่มีเป้าหมายเก็บเงินให้ได้ 10 ล้านบาท นาย B จะใช้เวลาเพียง 25 ปี 6 เดือน แต่นาย A จะใช้เวลาถึง 83 ปี 4 เดือน แม้ว่าจะออมแต่ละเดือนมากกว่านาย B เป็นเท่าตัวก็ตาม
เพราะผลตอบแทนจากการลงทุน ที่มันทบต้นไปเรื่อย ๆ จะช่วยทำให้เราถึงเส้นชัยทางการเงินได้เร็วขึ้น
ตัวอย่างประโยชน์อื่น ๆ ของการมีความรู้และทักษะการลงทุน
- หากมีเงินสดก้อนใหญ่ แล้วอยากให้มันสร้างผลตอบแทน ขณะที่ความเสี่ยงต่ำ ก็คงเลือกกองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล แทนการฝากเงินในธนาคาร เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าแล้ว ยังมีความเสี่ยงต่ำกว่าอีกด้วย
- สามารถมี Passive Income หรือรายได้เข้ามา แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานก็ตาม จากการลงทุนในหุ้นปันผล, REIT หรือ ETF
ดังนั้นควรทำความเข้าใจสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้าง และแต่ละแบบสร้างผลตอบแทนอย่างไร
ประเภทสินทรัพย์ทางการเงินที่ควรรู้จัก ได้แก่ ตลาดเงิน, พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, กองทุนรวม, ETF, REIT, หุ้นสามัญ และดัชนีตลาดหุ้น เช่น ดัชนี S&P 500
และทั้งหมดที่เล่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของทักษะการเงินเท่านั้น โดยทักษะเหล่านี้สามารถนำไปใช้สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตได้มากมายแล้ว
ลงทุนแมนก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยกระตุ้นให้ทุกคนมีไฟในการศึกษาทักษะการเงิน หรือปลูกฝังให้คนรุ่นหลัง เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จนสามารถนำไปพัฒนาให้ชีวิตดีขึ้นได้..