
จากยุคมืดตลาดหุ้นอเมริกา สู่การกำเนิด ก.ล.ต. สหรัฐฯ
จากยุคมืดตลาดหุ้นอเมริกา สู่การกำเนิด ก.ล.ต. สหรัฐฯ /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันนี้ ภาพที่หลายคนนึกถึงคงเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง มีความโปร่งใส และมีกฎระเบียบชัดเจนที่คุ้มครองนักลงทุน
ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันนี้ ภาพที่หลายคนนึกถึงคงเป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง มีความโปร่งใส และมีกฎระเบียบชัดเจนที่คุ้มครองนักลงทุน
ทำให้เป็นจุดหมายที่นักลงทุนจากทุกมุมโลก วางใจนำเงินมาลงทุน รวมถึงบริษัทต่าง ๆ จากทั่วโลกที่ต้องการเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น
แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ครั้งหนึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคยผ่านยุคมืดมาเหมือนกัน ทั้งมีการปั่นหุ้น มีการหลอกนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก
ซึ่งเหตุการณ์ตอนนั้น นำมาสู่การจัดตั้ง Securities and Exchange Commission (SEC) ในสหรัฐฯ หรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เรียกกันสั้น ๆ ว่า ก.ล.ต. สหรัฐฯ
เรียกกันสั้น ๆ ว่า ก.ล.ต. สหรัฐฯ
เรื่องราวยุคมืดของ Wall Street เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
อธิบายง่าย ๆ SEC มีหน้าที่คุ้มครองผู้ลงทุน ดูแลความเรียบร้อยในตลาดทุน โดยเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐบาล
ย้อนกลับไปแรกเริ่ม ก่อนการก่อตั้ง SEC ในสหรัฐฯ
การกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐ
ซึ่งมีความหลากหลาย และไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
การกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐ
ซึ่งมีความหลากหลาย และไม่มีประสิทธิภาพมากพอ
จนทำให้กฎระเบียบไม่ชัดเจน ไม่สามารถใช้อำนาจครอบคลุมทั่วประเทศได้
จึงเป็นช่องว่างให้ผู้ทำความผิด สามารถหนีข้ามรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ง่าย
ในช่วงทศวรรษ 1920 มีการเก็งกำไรหุ้นกันอย่างรุนแรง มีการปั่นหุ้น ราคาหุ้นสูงเกินจริง
ขณะเดียวกันยังมีการใช้มาร์จินสูงในการซื้อหุ้น จนเกิดฟองสบู่ลูกใหญ่
ขณะเดียวกันยังมีการใช้มาร์จินสูงในการซื้อหุ้น จนเกิดฟองสบู่ลูกใหญ่
และผลสุดท้ายคือ ในที่สุดฟองสบู่ลูกนั้นได้แตกในเดือนตุลาคม ปี 1929
ซึ่งหลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งนั้น ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ได้รับเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่ง และเร่งผลักดันการสอบสวน
นำโดย Ferdinand Pecora อดีตอัยการ ผู้มีบทบาทในการเปิดโปงความไม่โปร่งใสของระบบการเงิน Wall Street และพฤติกรรมของผู้บริหารบริษัทในตลาดหุ้น
มีการพบว่า หลายบริษัทที่ออกหุ้นเสนอขายต่อสาธารณะ ไม่มีธุรกิจจริง บางรายแทบไม่มีสินทรัพย์ มีการปลอมแปลงข้อมูล และขายหุ้นในราคาสูงเกินความเป็นจริง
รวมถึงมีการสร้างเรื่องราวหลอกนักลงทุนว่า บริษัทเหล่านี้มีศักยภาพมหาศาล มีเทคโนโลยีใหม่ หรือจะทำกำไรได้มากมายในอนาคต ทำให้นักลงทุนแห่ไปซื้อหุ้น แม้จะไม่มีอะไรจับต้องได้จริง
การสอบสวนนี้นำไปสู่ การออกกฎหมาย 2 ฉบับสำคัญ
1. Securities Act of 1933
ที่กำหนดให้การเสนอขายหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริง (Disclosure Law)
ที่กำหนดให้การเสนอขายหลักทรัพย์ต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นจริง (Disclosure Law)
2. Securities Exchange Act of 1934
ให้จัดตั้ง SEC เพื่อกำกับดูแลและควบคุมตลาดทุนโดยรวม
ให้จัดตั้ง SEC เพื่อกำกับดูแลและควบคุมตลาดทุนโดยรวม
ถือเป็นจุดกำเนิด SEC ที่เริ่มดำเนินการในปี 1934
โดยมี Joseph P. Kennedy (บิดาของประธานาธิบดี John F. Kennedy) เป็นประธานคนแรกของ SEC ซึ่งได้รับอำนาจอย่างเต็มที่ ในการทำให้ตลาดโปร่งใส และน่าเชื่อถือ
โดยมี Joseph P. Kennedy (บิดาของประธานาธิบดี John F. Kennedy) เป็นประธานคนแรกของ SEC ซึ่งได้รับอำนาจอย่างเต็มที่ ในการทำให้ตลาดโปร่งใส และน่าเชื่อถือ
โดยมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานจนมาเป็น SEC ในทุกวันนี้ เช่น
- กำหนดให้บริษัทจดทะเบียน ส่งงบการเงินรายไตรมาส และรายปี
- ให้ตรวจสอบงบการเงิน โดยนักบัญชีอิสระ เพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบคนวงใน ห้ามใช้ข้อมูลลับซื้อขายหุ้น
ก่อนข่าวเปิดเผย (Insider Trading)
- ห้ามปั่นหุ้นด้วยวิธีบิดเบือนต่าง ๆ เพื่อหลอกนักลงทุนรายย่อย
- มีบทลงโทษหนักทั้งปรับเงิน และจำคุก หากพบการโกงหรือหลอกลวงในตลาดทุน
- ให้ตรวจสอบงบการเงิน โดยนักบัญชีอิสระ เพื่อให้ข้อมูลน่าเชื่อถือ
- ตรวจสอบคนวงใน ห้ามใช้ข้อมูลลับซื้อขายหุ้น
ก่อนข่าวเปิดเผย (Insider Trading)
- ห้ามปั่นหุ้นด้วยวิธีบิดเบือนต่าง ๆ เพื่อหลอกนักลงทุนรายย่อย
- มีบทลงโทษหนักทั้งปรับเงิน และจำคุก หากพบการโกงหรือหลอกลวงในตลาดทุน
ตัวอย่างคดีดัง ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า SEC เอาจริงกับการปราบปรามการทุจริตในตลาดทุนสหรัฐฯ
อย่างเคส การแต่งงบการเงิน Enron ซึ่งเคยเป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แต่ในปี 2001 กลับถูกตรวจสอบว่า มีการตกแต่งงบการเงินมานานหลายปี
ทั้งสร้างรายได้เกินจริง และซ่อนหนี้ไว้ในบริษัทลูกที่ไม่เปิดเผย
ทั้งสร้างรายได้เกินจริง และซ่อนหนี้ไว้ในบริษัทลูกที่ไม่เปิดเผย
ผลคือบริษัทล้มละลาย จากมูลค่าบริษัทที่เคยสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท สุดท้ายกลายเป็นศูนย์
โดยทาง SEC ได้เข้าไปสอบสวนและจัดการอย่างจริงจัง จนเป็นที่มาของกฎหมาย Sarbanes-Oxley Act ที่เพิ่มความเข้มงวดในการเปิดเผยงบการเงิน และความรับผิดชอบของผู้บริหาร
หรือกรณีต่อมาที่ Bernie Madoff สร้างแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
โดยบริษัทหลักทรัพย์ของ Bernie Madoff มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากการการันตีกับนักลงทุนว่า จะได้ผลตอบแทน 12-20% ต่อปี โดยไม่ต้องคำนึงเลยว่าสภาพตลาดในขณะนั้นจะเป็นอย่างไร
แต่เบื้องหลังคือ แชร์ลูกโซ่ ที่หลอกเงินนักลงทุนไปรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท
SEC เริ่มสอบสวนหลังจากมีสัญญาณเตือนหลายครั้ง
จนพบถึงธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น ไม่มีการซื้อขายหุ้นจริง ๆ แต่ส่งรายงานปลอมให้นักลงทุน
จนพบถึงธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น ไม่มีการซื้อขายหุ้นจริง ๆ แต่ส่งรายงานปลอมให้นักลงทุน
SEC จึงประสานงานกับทาง FBI เพื่อรวบรวมหลักฐาน จนในที่สุด สามารถจับกุม Bernie Madoff ได้ในปี 2008 และศาลตัดสินให้เขาจำคุก 150 ปี
เคสต่อมา บทเรียน Elon Musk กับทวีต ซื้อคืนหุ้น
ปี 2018 Elon Musk ทวีตว่าอาจพา Tesla ออกจากตลาดหลักทรัพย์ พร้อมมีการกำหนดราคาหุ้นอย่างชัดเจน และยังระบุอีกว่า มีเงินทุนพร้อมแล้ว ทำให้ราคาหุ้น Tesla พุ่งทันที
โดย SEC มองว่าเป็นข้อมูลเท็จที่อาจทำให้ตลาดเข้าใจผิด และไม่มีหลักฐานยืนยัน
สุดท้าย Elon Musk ต้องจ่ายค่าปรับ 1,300 ล้านบาท
และลงจากตำแหน่งประธานบอร์ดของ Tesla ชั่วคราว (แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ต่อไปได้)
และลงจากตำแหน่งประธานบอร์ดของ Tesla ชั่วคราว (แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ต่อไปได้)
ตัวอย่างเหล่านี้เห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนรายใหญ่ หรือ CEO ระดับโลก ถ้าทำผิดกฎ SEC ก็ไม่ปล่อยไว้ พร้อมทั้งมีบทลงโทษอย่างสมควร
ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า พัฒนาการของ SEC ในสหรัฐฯ สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึง ความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในโลกของตลาดทุนอย่างมาก
เมื่อตลาดมีความโปร่งใส เป็นธรรม และมีกติกาชัดเจน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ก็มั่นใจในการเอาเงินมาลงทุนในตลาด ซึ่งบริษัทต่าง ๆ จากทั่วโลก ก็อยากเข้ามาระดมทุน
และช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ หรือลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโต มีนวัตกรรม มีการจ้างงานมากขึ้น
เม็ดเงินก็หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโต มีนวัตกรรม มีการจ้างงานมากขึ้น
เม็ดเงินก็หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
ซึ่งส่วนหนึ่งที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและบริษัทจากทั่วโลก เป็นผลมาจากบทบาทของ SEC ที่เป็นรากฐานสำคัญและขาดไม่ได้ ในการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ..