ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย

ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย

“ภาคเกษตรกรรม ใช้พื้นที่เยอะ ใช้คนเยอะ แต่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่ำมาก มองแล้วน่ากลัว ภาคเกษตรกรรมใช้พื้นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ และใช้คนประมาณ 40% ของประชากร แต่กลับมีส่วนต่อ GDP เพียง 8% เท่านั้น (ลดลงจากเดิม 12%) แสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการแข่งขัน” คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการ Talk ลงทุนแมนล่าสุด
ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย /โดย ลงทุนแมน
การดีลภาษี 19% กับสหรัฐอเมริกา จะเป็นจุดที่บังคับให้ประเทศไทยต้องรีบปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากไทยทำได้ จุดเปลี่ยนนี้ เศรษฐกิจไทยก็อาจกลับมาผงาดได้อีกครั้ง
แต่หากล้มเหลว ความท้าทายนี้จะยิ่งฝังลึกให้ทศวรรษที่สูญหายทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไป
ดีล 19% ที่เราได้มา
ที่เป็นอัตราแข่งขันได้กับตลาดโลก
ทุกคนรู้ว่า ไม่ใช่ของฟรี
สถานการณ์ที่กำลังเป็นสัญญาณเตือน กำลังบังคับให้เราต้องทำอะไรต่อไป
คนไทยทั้งประเทศกำลังจะเจอกับอะไร
และในช่วงเวลาโกลาหลนี้
โอกาสด้านบวกที่ซ่อนอยู่ของไทย มันใหญ่แค่ไหน
ในวันนี้เราจะได้สัมผัสความคิดของบุคคลที่อยู่แถวหน้าสุด
ในประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจชาติไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณพิชัย ชุณหวชิร ที่ถูกสัมภาษณ์โดยคุณทีน่า สุภัททกิต เจตทวีกิต, CFA
การเจรจาภาษี 19% กับสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการเห็นสินค้าจากประเทศคู่แข่ง ถูกผลิตในไทย แล้วส่งออกไปสหรัฐฯ
คุณพิชัยย้ำว่า การเจรจานี้ มีเป้าหมายเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ไม่เสียเปรียบ และเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
โดยที่ผ่านมา ทีมไทยแลนด์ศึกษาข้อมูลจากประเทศอื่นที่เจรจาไปก่อนหน้านี้ แม้จะมีข้อห้ามเปิดเผยข้อมูล แต่ทีมก็รวบรวมข้อมูลและประมวลผล เพื่อเสนอสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ โดยที่ไทยไม่ต้อง "เปิดทั้งหมด" (all access) เหมือนประเทศอื่น
ซึ่งการเจรจาล่าช้ากว่าคนอื่น กลับมีข้อดีที่ทำให้ได้ฟังเหตุการณ์รอบข้าง
ก่อนการเจรจา คุณพิชัยคาดการณ์ว่า อัตราที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20% ลบเล็กน้อย และมองว่าไทย ควรอยู่ในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่คล้ายคลึงกันอย่างมาเลเซียหรืออินโดนีเซีย ไม่ใช่กลุ่ม CLMV
การได้อัตรา 19% ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เสียเปรียบ และช่วยให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้
เรื่องการลดภาษีเป็น 0% สำหรับสินค้าบางชนิดกับสหรัฐฯ นั้น แท้จริงแล้วเป็นผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทย เพราะทำให้สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกลง เนื่องจากผู้บริโภคเป็นผู้แบกรับภาระภาษี
นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มอุปทานและสร้างการแข่งขันระหว่างประเทศผู้ขาย ทำให้ราคาลดลงอีก
ความท้าทายที่ยากที่สุดในการเจรจา ไม่ใช่บนโต๊ะเจรจากับสหรัฐฯ แต่เป็นการพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย จากการตกลงต่าง ๆ
การให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่สหรัฐฯ เช่น ยกเว้นภาษีสินค้า 11,000 ชนิดให้สหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐอาจจะไม่มีขาย หรือมีน้อยอยู่แล้ว ก็เป็นการให้ในสิ่งที่ไทยไม่ได้เสียเปรียบ และดูเหมือนเป็นประโยชน์มาก
สิ่งที่น่ากังวลคือ เสียงตอบรับจากคนในประเทศ ต่อสิ่งที่เจรจาไป
การเจรจาภาษี 19% นี้ถือเป็น "สัญญาณเตือน" ที่บังคับให้ไทยต้องเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากทำได้ เศรษฐกิจไทยอาจกลับมาผงาดอีกครั้ง แต่หากล้มเหลว อาจนำไปสู่ "ทศวรรษที่สูญหาย" ทางเศรษฐกิจต่อไป..
หนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่ม Local Content เพราะสหรัฐฯ ไม่ต้องการเห็นสินค้าของประเทศอื่น โดยเฉพาะคู่แข่ง มาตั้งฐานการผลิตในไทยแล้วส่งออก
ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วน Local Content จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน
- อุตสาหกรรมยานยนต์
ปัจจุบันรถยนต์สันดาปภายใน (ICE) และไฮบริด ที่ส่งออกมี Local Content สูงถึง 80-90% แล้ว
ความท้าทายคือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รุ่นใหม่ที่เข้ามา มี Local Content เพียง 10-20% ซึ่งยังต่ำมาก
แนวทางแก้ไขคือ BOI และหน่วยงานภาครัฐ จะทำหน้าที่เป็น "ตัวเชื่อม" (Matcher) เพื่อจับคู่ SMEs ไทยที่มีศักยภาพให้เข้ากับผู้ผลิตรถ EV รายใหญ่ เพื่อเพิ่ม Local Content
โดยเร่งการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ในไทย เป้าหมายคือให้แบตเตอรี่เริ่มจากการประกอบในไทย และในอนาคตเซลล์แบตเตอรี่ ก็ต้องผลิตในไทยด้วย ซึ่งรัฐบาลจะเร่งด้วยการ "ฉีดยาเร่ง" ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
รัฐบาลมีแนวคิดจัดตั้งกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสนับสนุนการลงทุนของ SMEs
- การดึงดูดการลงทุน (FDI)
หากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุน รัฐบาลจะขอเงื่อนไขให้มีการจัดตั้งศูนย์ R&D ในไทย โดยมีคนไทยเป็นบุคลากร R&D ในระดับหัวหน้าด้วย (เช่น 30% ของผู้บริหาร R&D)
และขอให้มีการวางแผนถ่ายโอนเทคโนโลยี และให้คนไทยเข้าถือหุ้นได้
นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดทุนไทย
- ภาคเกษตรกรรม
ปัจจุบันภาคเกษตรกรรม ใช้พื้นที่มากกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ และใช้คนประมาณ 40% ของประชากร แต่กลับมีส่วนต่อ GDP เพียง 8% เท่านั้น (จากเดิม 12%) แสดงให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการแข่งขัน
ปัญหาคือ เรามีต้นทุนสูง ผลผลิตต่อไร่ต่ำ คุณภาพดินไม่ดี พันธุ์พืชไม่เหมาะสม การบริหารจัดการน้ำ และการรวมกลุ่มกันผลิตยังไม่ดีพอ ทำให้สินค้ามีมูลค่าต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้น้อย กลายเป็นหนี้ และต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
หากภาคเกษตรสามารถเพิ่มส่วนแบ่ง GDP ได้ถึง 20% จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล
ซึ่งการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทำให้ตระหนักว่าสินค้าไทยต้นทุนแพงกว่า ต้องปรับตัว
กรณีศึกษาข้าวโพด ที่ถือว่าเป็น Win-Win Solution
ไทยขาดแคลนข้าวโพดสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งมีราคาสูง การนำเข้าข้าวโพดราคาถูกจากสหรัฐฯ (GMO) จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์และผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เช่น หมู ซึ่งส่งผลให้สินค้าอาหารในประเทศ มีราคาถูกลงด้วย
แต่เพื่อไม่ให้กระทบเกษตรกรในประเทศ รัฐบาลใช้ระบบโควต้า (สำหรับสหรัฐฯ เท่านั้น) โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรายใหญ่ ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศก่อนในสัดส่วนที่กำหนด แล้วจึงสามารถนำเข้าผลผลิตราคาถูกจากสหรัฐฯ ได้
พร้อมกันนี้ก็ให้เวลาเกษตรกรไทย 3-7 ปีในการปรับตัว ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
รัฐบาลยังส่งเสริมให้เปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าว ที่ผลผลิตล้นตลาด มาปลูกข้าวโพดแทน
และย้ำว่า ไทยต้องเปลี่ยนผ่านจากการเป็นเพียง "ฐานการผลิต" ไปสู่การเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภาคเกษตรกรรม สามารถพัฒนาเป็นไบโอเทคโนโลยีได้ โดยวัตถุดิบมีในประเทศ แต่ขาดเทคโนโลยี
สินค้าไบโอเทคโนโลยี มีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าวัตถุดิบหลายเท่าตัว (เช่น 100 เท่า หรือ 10,000 เท่า) รัฐบาลจะสนับสนุน FDI ในไบโอเทคโนโลยี และส่งเสริมสตาร์ตอัปไทย โดยอาจมีกลไกให้รัฐบาลเป็นผู้ร่วมลงทุน (Grant) หรือเป็นพี่เลี้ยงในช่วงแรก และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล
อีกเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยต้องทำคือ การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน
การลงทุนของประเทศ ลดลงอย่างมาก จาก 40-50% ของ GDP ในอดีต เหลือเพียง 19-22% ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงอย่างต่อเนื่อง (จากเกือบ 10% เหลือเฉลี่ย 1.9% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา)
ขณะที่รัฐบาลมีงบประมาณลงทุนเพียง 5-6 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการที่ควรจะเป็น 30-35% ของ GDP (ประมาณ 5-6 ล้านล้านบาท)
บทบาทภาครัฐ จึงต้องเป็นผู้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น ที่ดินที่เหมาะสม น้ำ ไฟฟ้า ถนน ระบบราง การศึกษา เพื่อลดต้นทุนให้ภาคเอกชน
เพื่อดึงดูด FDI โดยถ้าดึงดูด FDI ได้ 1 ล้านล้านบาท ก็สามารถสร้างการลงทุนรวม (ภาครัฐและเอกชน) ได้ถึง 5 ล้านล้านบาท
ดังนั้นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยดึงดูด FDI และนำไปสู่การจ้างงาน การผลิต และการเติบโตของอุตสาหกรรมและบริการอื่น ๆ เช่น การเงิน การท่องเที่ยว
ส่วนการรับมือกับผลกระทบอื่น ๆ เช่น
- การนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ เป็นไปตามกลไกตลาดเสรี โดยไทยเลือกซื้อจากแหล่งที่ถูกที่สุดและมีคุณภาพดีที่สุด
สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ส่งออก LNG รายใหญ่ได้เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ในการผลิต Shale Gas และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ (ท่อส่ง) ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลงมาก
การนำเข้า LNG จากสหรัฐฯ ที่ราคาถูกลง จะช่วยลดต้นทุนพลังงานของไทย (จากเฉลี่ย 10 เหรียญ/ล้าน BTU เหลือประมาณ 8 เหรียญ/ล้าน BTU) ทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง
- การเสียตลาดส่งออก
ประเทศคู่ค่าของเรา อาจถูกบังคับให้ซื้อจากสหรัฐฯ แทน นี่เป็นธรรมชาติของการแข่งขันในตลาดโลก สำหรับสินค้าส่งออกหลักของไทย เช่น ข้าวและยางพารา ก็ต้องปรับตัว
ข้าว ต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อแข่งขันกับอินเดียและเวียดนาม
ยางพารา ต้องแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (เช่น ยางรถยนต์) แทนการส่งออกยางดิบ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 10-11 เท่า
สิ่งนี้ต้องการนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเฉพาะการดึง R&D มายังประเทศไทย
- ปัญหาสินค้าทุ่มตลาด
ไม่น่ากังวลเท่าปัญหาการขาดกำลังซื้อภายในประเทศ สามารถรับมือได้ด้วยการใช้มาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด (เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม ภาษีคาร์บอนเครดิต)
และการพิจารณาปฏิรูปภาษีใหม่ เพื่อเก็บภาษีจากสินค้าที่เข้ามาแบบไม่เป็นธรรม เช่น การเก็บภาษีจากผู้ที่ไม่มีตัวแทนในไทย แต่ใช้ AI หรือซอฟต์แวร์ในการดำเนินธุรกิจ
สุดท้ายนี้ คุณพิชัย ได้อัปเดตถึงขั้นตอนและสิ่งที่จะดำเนินการต่อไป
ข้อตกลง 19% เป็นเพียงกรอบ (framework) ที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายในทันที ต้องลงรายละเอียดในรูปแบบสัญญา ที่ครอบคลุมทั้งประเด็นภาษีและไม่ใช่ภาษี
และต้องมีการทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทุกรายละเอียดในสัญญาเป็นไปได้จริง จะต้องมีการตั้งทีมงานในแต่ละภาคส่วน และดึงภาคเอกชน (ผู้ซื้อ-ผู้ขาย) เข้ามามีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด
พร้อมกับการสร้างความเข้าใจกับสาธารณะ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะนำมาซึ่งความยากลำบากในระยะแรก แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
รวมถึงการจัดการปัญหาเร่งด่วน ในเรื่อง สินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อมูลค่าในประเทศ และตั้งทีมงานเฉพาะกิจสำหรับภาคเกษตรกรรมแยกตามประเภทสินค้า เช่น หมู
สรุปแล้ว การเจรจาภาษี 19% เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความจำเป็นในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ โดยเน้นการเพิ่ม Local Content ในอุตสาหกรรมยานยนต์ (EV)
การยกระดับภาคเกษตรกรรมให้มีมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะดึงดูดการลงทุนอื่น ๆ ให้ตามมา
และการสร้างความเข้าใจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทุกภาคส่วนในประเทศ เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต..
คลิปเต็ม https://www.youtube.com/watch?v=APE1G3RrGFY&t=2s
ดีลประวัติศาสตร์ 19% จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจไทย | Talk ลงทุนแมน
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon