
Nano Finance ทางออกหนี้นอกระบบ หรือปัญหาใหม่ ของหนี้ครัวเรือนไทย ?
Nano Finance ทางออกหนี้นอกระบบ หรือปัญหาใหม่ ของหนี้ครัวเรือนไทย ? /โดย ลงทุนแมน
Nano Finance สินเชื่อรายย่อยที่ภาครัฐสนับสนุน
เพื่อให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น และลดการกู้นอกระบบ
Nano Finance สินเชื่อรายย่อยที่ภาครัฐสนับสนุน
เพื่อให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น และลดการกู้นอกระบบ
เพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ต่อยอดธุรกิจ
หรือเป็นเงินหมุนเวียน
หรือเป็นเงินหมุนเวียน
กลับกัน..
ถ้ามองลึกลงไปในตัวเลขจะพบว่า Nano Finance กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงเป็นประวัติการณ์
ก็อาจเป็นความเสี่ยงที่รออยู่ในอนาคตได้เช่นกัน
ถ้ามองลึกลงไปในตัวเลขจะพบว่า Nano Finance กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนไทยที่สูงเป็นประวัติการณ์
ก็อาจเป็นความเสี่ยงที่รออยู่ในอนาคตได้เช่นกัน
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
นิยามง่าย ๆ Nano Finance คือบริการสินเชื่อรายย่อย ที่เหมาะสำหรับบุคคล ที่ต้องการเงินทุนในการประกอบอาชีพ หรือผู้ที่ต้องการเงินด่วน โดยไม่ต้องการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้ เนื่องจากมีประวัติเครดิตที่ไม่ดี หรือไม่มีประวัติเครดิตเลย
สำหรับจุดต่างที่หลายคนสงสัย แล้ว Nano Finance
แตกต่างจากสินเชื่อส่วนบุคคลตรงไหน ?
แตกต่างจากสินเชื่อส่วนบุคคลตรงไหน ?
แม้ว่าทั้งสองอย่างนี้ จะเป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกัน แต่ก็มีจุดที่แตกต่างกัน (สินเชื่อบุคคลส่วนใหญ่ เป็นสินเชื่อที่ไม่ต้องมีหลักประกัน)
ข้อแรกต่างกันตรงที่ เรื่องของวงเงิน
Nano Finance กำหนดวงเงินกู้ต่ำกว่า โดยสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย
Nano Finance กำหนดวงเงินกู้ต่ำกว่า โดยสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย
และมีเงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อที่ใช้เอกสารหลักฐานน้อยกว่า
ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคล มักจะมีวงเงินกู้ที่สูงกว่า
เพราะผู้กู้ต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับรายได้ที่ชัดเจน
เพราะผู้กู้ต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับรายได้ที่ชัดเจน
ซึ่งสะท้อนมายังเรื่องของดอกเบี้ยอีกด้วย
โดย Nano Finance มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 33% ต่อปี ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 25% ต่อปี
โดย Nano Finance มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 33% ต่อปี ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 25% ต่อปี
นั่นก็เพราะว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nano Finance ในการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ที่ไม่มีหลักฐานรายได้ประจำ นั่นเอง
นอกจากนี้ สินเชื่อ Nano Finance มักจะมีการอนุมัติที่รวดเร็วกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลอีกด้วย
จะเห็นว่า Nano Finance แม้จะมีดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ยังต่ำกว่าหนี้นอกระบบ ที่เก็บดอกเบี้ยชนิดที่ว่า ลำพังจ่ายคืนดอกเบี้ยอย่างเดียว ก็ไม่ไหวแล้ว
ซึ่งก็เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ
อย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอิสระ เกษตรกรรายย่อย
ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมาย
อย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้า คนทำงานอิสระ เกษตรกรรายย่อย
ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมาย
โดยในส่วนนี้ รัฐบาลไทยเริ่มผลักดัน ธุรกิจ Nano Finance มาตั้งแต่ปี 2558
จากข้อมูล ธนาคารแห่งประเทศไทย (เดือนพฤษภาคม 2568)
มีผู้ประกอบธุรกิจ Nano Finance หรือสินเชื่อรายย่อยภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. จำนวน 73 บริษัท
มีบัญชีลูกหนี้ 4,056,072 ราย และมีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 72,638 ล้านบาท
มีผู้ประกอบธุรกิจ Nano Finance หรือสินเชื่อรายย่อยภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. จำนวน 73 บริษัท
มีบัญชีลูกหนี้ 4,056,072 ราย และมีสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 72,638 ล้านบาท
และมูลค่าสินเชื่อคงค้างของ Nano Finance มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
- เดือนพฤษภาคม 2566 มูลค่า 40,954 ล้านบาท
- เดือนพฤษภาคม 2567 มูลค่า 47,295 ล้านบาท
- เดือนพฤษภาคม 2568 มูลค่า 72,638 ล้านบาท
- เดือนพฤษภาคม 2567 มูลค่า 47,295 ล้านบาท
- เดือนพฤษภาคม 2568 มูลค่า 72,638 ล้านบาท
ถ้าลองไล่ชื่อผู้ประกอบธุรกิจ Nano Finance ที่หลายคนอาจคุ้นกัน ก็อย่างเช่น
- ไลน์ บีเค (LINE BK) บริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทย ให้บริการสินเชื่อและบัญชีผ่านแพลตฟอร์ม LINE
- มันนิกซ์ (MONIX) บริษัทในเครือ SCBX ผู้ให้บริการแอปเงินกู้ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์ FINNIX
- ธนาคารไทยเครดิต สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มุ่งเน้นให้บริการด้านสินเชื่อรายย่อย และกลุ่มที่เข้าไม่ถึงระบบธนาคาร
อย่างไรก็ตาม พอคุณภาพของลูกหนี้ เป็นกลุ่มที่เปราะบาง เสี่ยงผิดนัดชำระสูง แถมไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ทำให้ความท้าทายของธุรกิจ Nano Finance ต้องแบกรับหนี้เสีย หรือ NPL ในอัตราที่สูงด้วย
ทำให้ความท้าทายของธุรกิจ Nano Finance ต้องแบกรับหนี้เสีย หรือ NPL ในอัตราที่สูงด้วย
แม้ว่า Nano Finance จะมีจุดประสงค์หลักเป็นการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้าลองดูสถานการณ์ตอนนี้ ก็ถือเป็นความเสี่ยง
ของธุรกิจ Nano Finance เช่นกัน..
ของธุรกิจ Nano Finance เช่นกัน..
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงภาพรวมหนี้ครัวเรือนของไทย
ที่ปัจจุบัน (ไตรมาส 1 ปี 2568) หนี้ครัวเรือนของไทยสูงถึง 16 ล้านล้านบาท และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 88%
ที่ปัจจุบัน (ไตรมาส 1 ปี 2568) หนี้ครัวเรือนของไทยสูงถึง 16 ล้านล้านบาท และสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 88%
ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตลาดเกิดใหม่เกือบ 2 เท่า และราว 2 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนไทย เป็นหนี้ที่ไม่สร้างรายได้ในอนาคต เช่น หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งมีทั้งสินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้บัตรเครดิต
แตกต่างจากหลายประเทศ ที่แม้จะมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่เกิดจากการลงทุนเพื่ออนาคต อย่างเช่น หนี้เพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อการทำธุรกิจ
สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่สูง และส่วนใหญ่เป็นหนี้บริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้
ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วง เมื่อ Nano Finance เข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางการเงินให้กับกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบาง
ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วง เมื่อ Nano Finance เข้ามาเติมเต็มช่องว่างทางการเงินให้กับกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบาง
เพราะความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อและการอนุมัติที่รวดเร็ว อาจทำให้ผู้กู้บางรายที่ขาดวินัยทางการเงิน ใช้โอกาสนี้ก่อหนี้เพิ่มขึ้น จนขาดความสามารถในการชำระหนี้
แม้ว่าปัจจุบัน มูลค่าสินเชื่อ Nano Finance คิดเป็นไม่ถึง 1% ของมูลค่าหนี้ครัวเรือนของไทยทั้งหมด แต่ก็มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
ซึ่งในอนาคตก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นดาบสองคม ที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียสะสม ที่ทั้งผู้ให้กู้ และระบบเศรษฐกิจต้องแบกรับในระยะยาวได้เช่นกัน..