ครั้งแรก “นวัตกรรมยามะเร็งใหม่” ประเทศไทย “อเมริกา” ขอไลเซนส์ ตอกย้ำนโยบายจุฬาฯ “ก้าวล้ำโลก แต่เข้าถึงได้”

ครั้งแรก “นวัตกรรมยามะเร็งใหม่” ประเทศไทย “อเมริกา” ขอไลเซนส์ ตอกย้ำนโยบายจุฬาฯ “ก้าวล้ำโลก แต่เข้าถึงได้”

ข่าวประชาสัมพันธ์..
ครั้งแรก “นวัตกรรมยามะเร็งใหม่” ประเทศไทย
“อเมริกา” ขอไลเซนส์ ตอกย้ำนโยบายจุฬาฯ “ก้าวล้ำโลก แต่เข้าถึงได้”
แม้ว่าไทยบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกา ได้ภาษีนำเข้าเพียง 19% จะช่วยลดแรงกดดันการส่งออกไทย ทว่า ท่ามกลางภาวะที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตัวสุดท้ายอ่อนแรง เงินเฟ้อต่ำ เศรษฐกิจเติบโตช้า “นวัตกรรม” (Innovation-based Economy) จึงมีบทบาทสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) จึงจัดเต็ม เปิดคลังขนของดีมาโชว์ศักยภาพอย่างเต็มที่ใน “งาน CU Innovation & IP Expo 2025” ทำเอาพารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กลายเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของคนในแวดวงสตาร์ทอัป นักลงทุน ผู้ประกอบการ ฯลฯ
งานนี้นอกจากเป็นสะพานเชื่อมระหว่างนวัตกรกับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ โดยภายในงานมีการนำเสนอ Innovation Products 50 ผลงานจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำ ไม่เพียงทางด้าน Health & Wellness ด้านอาหารและการเกษตร สิ่งแวดล้อม ยังครอบคลุมไปถึงด้านงานออกแบบ ที่ประเมินว่าจะสร้างอิมแพ็คให้กับเศรษฐกิจไทย ยังมีเวทีเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property: IP) ที่จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ที่เป็นไฮไลท์ของงานคือ นวัตกรรมยามะเร็งตัวใหม่ ผลงาน อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นหัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาเชิงระบบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของไทยที่ประสบความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมยาโมเลกุลใหม่ จน OncoSynergy บริษัทเอกชนที่พัฒนายาภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งจากประเทศสหรัฐอเมริกา ติดต่อขอไลเซนส์ ซึ่งมีการลงนามข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในงานด้วย
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ประเทศไทยมีนวัตกรรมออกมามากมาย แต่ปัญหาคือต้องขายให้เป็น และยังมีเรื่องของการลอกเลียนแบบอีก ฉะนั้นเราต้องรู้จักเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เรื่องของการปกป้องสิทธิ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำและแหล่งผลิตองค์ความรู้ ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมและพัฒนาผลงานของคณาจารย์ นักวิจัย นิสิต และนวัตกร ให้สามารถต่อยอดจากห้องปฏิบัติการไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งแสดงถึงศักยภาพในการแข่งขันและพร้อมเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการลงทุน หรือการใช้งานในระดับสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ
“งาน CU Innovation & IP Expo 2025 ไม่ใช่งานนิทรรศการจัดแสดงงานทางด้านนวัตกรรม แต่เป็นการรวบรวมนวัตกรรมที่ก้าวล้ำมาอยู่ที่นี่ เป็นงานกระตุ้นให้คนไทยหันมาเห็นความสำคัญว่าเรามีงานวิจัยระดับโลก ขณะเดียวกันเราอยากให้นักลงทุน ผู้ประกอบการได้เห็นศักยภาพของไทยเพื่อ 1. สร้างแรงบันดาลใจให้เชื่อมั่นว่าเราทำได้ 2. เป็นเวทีของการหาพันธมิตรร่วมกันทำงาน”
นอกจากนี้ยังได้สิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น ลดหย่อนภาษีสูงสุด 300% ได้รับยกเว้นภาษีรายได้จากการใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญา และยังได้ร่วมมือต่อยอดกับทีมวิจัยจุฬาฯ นี่คือบทบาทของมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไป เราไม่ได้แค่สอนหนังสือ เราไม่ได้ผลิตงานวิจัยเพื่อใช้ในเชิงวิชาการ แต่ผลิตงานวิจัยเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น
“การที่ยามะเร็งโมเลกุลใหม่โดยการคิดค้นของอาจารย์จุฬาฯ มีบริษัทยาในสหรัฐอเมริกามาขอซื้อ นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณภาพของเราอยู่ใน “ระดับโลก” และเรา “เหนือกว่า” เราไม่ได้ขายสินค้า แต่ขายนวัตกรรมนำเม็ดเงินมาสู่ประเทศ”
อธิการบดี จุฬาฯ ย้ำว่า เราไม่ได้สร้างนิทรรศการ แต่เป็นการสร้าง Research Community สร้าง Innovation Community ให้นักธุรกิจมาพบปะกับนวัตกร เพื่อให้เกิดการจับคู่ธุรกิจ
“เวลาพูดถึงนวัตกรรม ส่วนใหญ่จะนึกถึงสิ่งที่ล้ำๆ แต่ Positioning ของจุฬาฯ หลักๆ คือ เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำในระดับโลก แต่ขณะเดียวกันต้องถึงในระดับรากหญ้า คือต้องช่วยเหลือสังคมช่วยเหลือประชาชนได้จริง สุดท้ายแล้วต้องยั่งยืน”
“สิ่งสำคัญของการสร้างนวัตกรรมนอกจากมีคนที่เก่งแล้วจะต้อง “จากคนสู่คน” ต้องมีการสำรวจความต้องการของผู้บริโภคว่าต้องการอะไรก่อน แล้ววิเคราะห์หาต้นแบบ ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนแน่ใจ เพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของคนมากที่สุด การที่จุฬาฯ ผลิตนวัตกรรมออกมาได้ เพราะเรามีนวัตกรที่เก่ง เราเชื่อว่านวัตกรมาก่อนนวัตกรรม นี่คือบทบาทของจุฬาฯ ในฐานะมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน”
ยาโมเลกุลใหม่ สู่ความร่วมมือระดับโลกครั้งแรกของประเทศไทย
ที่ผ่านมางานวิจัยไทยที่เป็นนวัตกรรมยาไม่เคยมี "ยาใหม่" ที่บริษัทเอกชนจากต่างประเทศที่พัฒนายาภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ติดต่อมาขอทำสัญญาลงนามข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยี “ยาแอนติบอดีแบบใหม่ต่อ PD-1 สำหรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบบภูมิคุ้มกันบำบัด” จึงถือเป็นครั้งแรกของไทยในการพัฒนายาใหม่ที่ได้รับการต่อยอดในระดับสากล
ไม่เพียงสำแดงให้เห็นถึงความสามารถของนักวิจัยไทยที่อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก รองศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.จิตติมา ลัคนากุล ประธานกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า สิ่งที่ได้นอกจากเม็ดเงินที่ใช้ในการต่อยอดงานวิจัยพัฒนาต่อไป ไทยยังได้โนว์ฮาวเนื่องจาก OncoSynergy มีความเชี่ยวชาญการขึ้นทะเบียนยาใหม่ และมีความกว้างขวางในตลาดยาอย่างมาก
“งานวิจัยของจุฬาฯ จะเน้นอิมแพ็คไปสู่รากหญ้า เนื่องจากวันนี้เราอยู่ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งพยายามผลักดันเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม สอดคล้องกับนโยบายของจุฬาฯ ที่มีงานวิจัยและอยากให้งานเหล่านั้นจากหิ้งลงสู่ห้าง สามารถเป็นต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้ หรือก็คือสามารถดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เกิดรายได้เข้าประเทศมากขึ้น ฉะนั้น ตัวอย่างนวัตกรรมที่นำมาแสดงเป็นการโชว์ศักยภาพให้เห็นถึงความพร้อมของนวัตกรรมไทยในการแข่งขันบนเวทีโลก ถ้าได้ไปสามารถประเมินผลในระดับโลกได้” ผอ.CU Innovation Hub บอกและว่า
บริษัท OncoSynergy เห็นถึงศักยภาพที่สูงมากของยานี้ที่จะนำไปต่อยอดร่วมกับยาของตนเอง เพื่อพัฒนาเป็นยามะเร็งตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ภายใต้เงื่อนไขว่าเมื่อพัฒนายาสำเร็จจนจดทะเบียนออกใช้งานจริงแล้ว ไทยจะได้สิทธิพิเศษในราคาสมเหตุผล อันเป็นเป้าหมายของการพัฒนางานวิจัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ทางด้าน อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล ให้ภาพกว้างถึงการรักษามะเร็งในปัจจุบันว่า นอกจากการผ่าตัด ฉายแสง ให้ยาเคมีแล้ว มีการรักษารูปแบบใหม่คือ การใช้ “ภูมิคุ้มกันบำบัด” เพื่อช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่หลบหลีกภูมิคุ้มกันได้อย่างตรงเป้า ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอยู่แล้ว และมีการใช้งานมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเข้าถึงน้อยกว่า 1% การผลิตเองจึงเป็นสิ่งจำเป็น 5 ปีก่อนจุฬาฯ จึงมีการทำวิจัยและพัฒนายาต้านมะเร็งขึ้น 2 โครงการ คือ ยาคล้ายคลึง (Biosimilar) ซึ่งทำได้เร็วกว่า เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้ภายในระยะเวลาอีกไม่นาน ขณะเดียวกันก็พัฒนานวัตกรรมควบคู่กันไป
หลักการการทำงานของยา “แอนติบอดี” ต้านมะเร็งตัวใหม่ ใช้การกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นกลไกสำคัญ เนื่องจากเซลล์มะเร็งจะมีการสร้างโปรตีนที่ชื่อว่า PD-L1 ซึ่งมีความสามารถในการจับกับโปรตีน PD-1 ที่อยู่บนเม็ดเลือดขาว และเมื่อใดก็ตามที่โปรตีนทั้ง 2 ตัวนี้มาจับคู่กันจะมีผลให้เม็ดเลือดขาว “หยุด” การทำงาน ทำให้ไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งได้ ฉะนั้น ยากลุ่ม “แอนติบอดี” จะเข้าไปขัดขวางการจับกันระหว่างโปรตีน PD-L1 กับโปรตีน PD-1 ทำให้เม็ดเลือดขาวกลับมาจัดการกับเซลล์มะเร็งได้ตามปกติ
อ.นพ.ไตรรักษ์ บอกว่า "ยาแอนติบอดีแบบใหม่ต่อ PD-1 สำหรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็งแบบภูมิคุ้มกันบำบัด" เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและภาครัฐ ปัจจุบันผ่านการทดลองในหนูแล้วปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ การยึดจับของแอนติบอดี (binding affinity) ต่อ PD-1 มีความแน่นกว่ายาชนิดเดียวกันของต่างประเทศ โดยมีค่า dissociation constant (Kd) เป็นตัวบ่งชี้ ทำให้ก้อนมะเร็งยุบตัวได้ดีมาก
บริษัท OncoSynergy ติดต่อมาขอทำสัญญาลงนามความตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดร่วมกับยาแอนติบอดีตัวใหม่อีกตัวของเขาให้เกิดเป็นสูตรยาใหม่ในรูปแบบการบำบัดแบบผสมผสาน (combination therapy) โดยเราให้การสนับสนุนทางวิชาการ ตามนโยบายของจุฬาฯ ในการผลักดันงานวิจัยสู่ภายนอก ซึ่งการลงทุนพัฒนายาจนสามารถขึ้นทะเบียนได้ต้องใช้เงินอีกเป็น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีเรื่องของตลาดที่จะมารองรับให้คุ้มค่าต่อการลงทุน การร่วมมือกันพัฒนาจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเราไม่ได้แค่ต้องการพัฒนายา แต่ต้องการให้คนเข้าถึงได้มากที่สุด

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon