กู้ดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนผลตอบแทนสูง กลยุทธ์ที่ไร้ความเสี่ยง มีจริงหรือไม่ ?

กู้ดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนผลตอบแทนสูง กลยุทธ์ที่ไร้ความเสี่ยง มีจริงหรือไม่ ?

กู้ดอกเบี้ยต่ำ ไปลงทุนผลตอบแทนสูง กลยุทธ์ที่ไร้ความเสี่ยง มีจริงหรือไม่ ? /โดย ลงทุนแมน
โดยปกติ นักลงทุนจำนวนมาก ยอมรับการลงทุนที่เสี่ยงมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงตามต้องการ
แต่มีการลงทุนอยู่บางอย่าง ที่ถูกให้ความหมายว่า เป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง และอาจสร้างผลตอบแทนที่สูงได้เช่นกัน หากสามารถสรรหาวิธีการลงทุนที่ดีพอ
การลงทุนที่ว่านั้น คืออะไร แล้วไม่มีความเสี่ยงจริงหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ด้วยความต่างของแต่ละประเทศ ทำให้การลงทุนในหลักทรัพย์ที่คล้ายกันนั้น อาจให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน
อย่างการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุคงเหลือ 10 ปี ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับการถือพันธบัตรรัฐบาลไทย ที่ระยะเวลาเท่ากัน เป็นต้น
ขณะเดียวกัน เราสามารถยืมเงินจากประเทศหนึ่ง แล้วจ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า จากการยืมเงินจำนวนเท่ากัน
โดยทั่วไปแล้ว ประเทศที่มีหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนสูง มักไม่ใช่ประเทศเดียวกันกับที่มีต้นทุนการกู้เงินต่ำ
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนต้องการ Leverage เพื่อทวีคูณผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงมักกู้เงินในประเทศที่ต้นทุนการกู้ต่ำ และนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในหลักทรัพย์ของประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูง
ในช่วงที่ผ่านมา เราคงได้ยินการกู้เงิน จากประเทศอย่างญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ แล้วนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรและหุ้นสหรัฐฯ
ซึ่งปัจจัยหนึ่ง ที่มีส่วนกำหนดให้ประเทศใด จะเป็นแหล่งกู้เงิน และประเทศใด จะเป็นแหล่งแสวงหาผลตอบแทนของนักลงทุน คือ อัตราดอกเบี้ยพื้นฐาน (Key Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate)
วิธีการลงทุนที่กู้เงินดอกเบี้ยต่ำ ในประเทศหนึ่ง
แล้วนำเงินไปลงทุนในอีกประเทศ เพื่อรับผลตอบแทนที่สูงกว่า นับเป็นการทำอาร์บิทราจ (Arbitrage) รูปแบบหนึ่ง โดยการรับผลตอบแทนจากส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศ
กลยุทธ์ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า “แครี่เทรด” (Carry Trade)
การลงทุนแบบนี้ ดูเหมือนผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับความเสี่ยงอะไรเลย หากสามารถหาประเทศที่เป็นคู่แครี่เทรดได้ ก็แทบจะการันตีผลตอบแทนในทันที
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีประเด็นที่นักลงทุนจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนการใช้กลยุทธ์นี้
ประเด็นแรก คือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk)
การลงทุนด้วยกลยุทธ์แครี่เทรดที่ได้กำไรนั้น ค่าเงินของประเทศที่เป็นแหล่งเงินกู้ ต้องไม่แข็งค่าขึ้นเกินไป เมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศปลายทางการลงทุน เพราะไม่เช่นนั้น จะขาดทุนจากกลยุทธ์นี้
ยกตัวอย่าง สมมติกู้เงินจากญี่ปุ่น ด้วยอัตราดอกเบี้ยราว 2% ต่อปี จำนวนเงิน 10,000,000 เยน
ทดไว้ว่า เงินที่ต้องจ่ายคืนในอีก 1 ปีข้างหน้า
เท่ากับ 10,000,000 x 1.02 = 10,200,000 เยน
หากเลือกปลายทางลงทุนในสหรัฐฯ​
ขณะนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 158 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ
เงินลงทุนจึงเท่ากับ 63,291 ดอลลาร์สหรัฐ
และคาดหวังอัตราผลตอบแทนระยะ 1 ปี ราว 10%
มูลค่าการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับในอีก 1 ปีข้างหน้า
เท่ากับ 63,291 x 1.10 = 69,620 ดอลลาร์สหรัฐ
หากค่าเงินไม่เปลี่ยนแปลงเลย ผลตอบแทนที่ได้เท่ากับ
69,620 x 158 = 11,000,000 เยน
เมื่อนำมาหักกับเงินที่ต้องจ่ายคืน 10,200,000 เยน
กำไรที่ได้ จึงเท่ากับ 800,000 เยน
แต่.. หากเงินเยนแข็งค่าขึ้น 11%
จนอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 140.62 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าเงินลงทุนที่จะได้รับเท่ากับ 9,789,964 เยน ซึ่งน้อยกว่าที่ต้องจ่ายคืน จึงมีผลขาดทุน 410,036 เยน
ประเด็นต่อมา คือ ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)
โดยการทำแครี่เทรดที่ได้กำไร มักต้องประเมินอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปร่วมด้วย เพราะส่งผลต่อทั้งค่าเงิน และผลตอบแทนจากการลงทุน
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง
ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เซอร์ไพรส์ตลาด ขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ 0.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี และประกาศแผนลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลในฝั่งตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าการคาดการณ์เป็นอย่างมาก ทำให้ตลาดเก็งว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
เหตุการณ์ทั้ง 2 นี้มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกปรับตัวลงหนัก ในวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2024 ซึ่งสื่อหลายสำนัก เรียกว่าเป็นอีกหนึ่ง “Black Monday”
ความตื่นตระหนกของนักลงทุน ถูกกระตุ้นจากต้นทุนการกู้ยืมในกลยุทธ์แครี่เทรด โดยญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำยอดนิยม ของนักลงทุนกลยุทธ์แครี่เทรดทั่วโลก
เมื่ออัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่นเริ่มมีทิศทางขาขึ้น อีกทั้งแผนการลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ทั้งหมดนี้ ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น
แน่นอนว่า หากนักลงทุนต้องการล็อกกำไรที่ได้จากการทำแครี่เทรด ก็ต้องทยอยขาย แล้วรีบแปลงเงินที่ได้จากการลงทุน ในรูปสกุลเงินต่างประเทศ กลับมาเป็นเงินเยน เพื่อใช้คืนเงินกู้
กระบวนการย้อนกลับนี้ เรียกว่า Unwind Carry Trade
แน่นอนว่า หากนักลงทุนยังไม่ได้กำไรตามเป้าหมาย อาจเลือกที่จะรอรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งหากสามารถชดเชยค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นได้ ก็ยังคงได้รับกำไร
แต่สถานการณ์เลวร้ายลง เมื่อสหรัฐฯ ประเทศปลายทางการลงทุนยอดนิยม ของนักลงทุนกลยุทธ์แครี่เทรด กลับมีภาพเชิงลบของเศรษฐกิจ ทำให้ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ อาจลดลงตาม
ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มการเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งเมื่อมองกลับด้าน หมายถึง เงินเยนถูกเร่งให้แข็งค่าขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
พอเป็นแบบนี้แล้ว ใครที่ใช้กลยุทธ์แครี่เทรด จึงเลือกเทขายทรัพย์สินต่าง ๆ เพื่อล็อกกำไร หรือทำให้ผลขาดทุนนั้นต่ำที่สุด ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ อาจมี Panic Sell ตามมา
จาก 2 ประเด็นที่ยกมาข้างต้น บอกเราได้ว่า การใช้กลยุทธ์แครี่เทรด ต้องมีความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย ในระดับที่ลึกซึ้งมากพอ
หมายความว่า หากเราเข้าใจทั้ง 2 เรื่องแล้ว เราจะใช้กลยุทธ์นี้สร้างกำไรได้ง่าย ๆ เลยใช่หรือไม่ ?
คำตอบ คือ ไม่
เรื่องสุดท้ายที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ คือ กลยุทธ์แครี่เทรด มักทำกำไรได้ดี ในภาวะที่มีความผันผวนต่ำ
ยิ่งภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินผันผวนมากเท่าไร การคาดการณ์ผลตอบแทนจากการลงทุน อัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน ยิ่งมีความแม่นยำน้อยลงเท่านั้น
ทำให้แม้ในวันที่ลงทุน เรามีข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วน แต่จากภาวะที่ผันผวนสูง ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่สูงเท่าที่ประเมินไว้ หรืออาจขาดทุนได้
ซึ่งทั้งนี้ ผลขาดทุนอาจพอหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาได้ หากนักลงทุนมีความเข้าใจเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น ฟอร์เวิร์ด เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน หรือสวอป เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย
ถึงแม้จะมีวิธีป้องกันความเสี่ยง แต่นักลงทุนบางส่วนอาจเลือกไม่ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เงินทั้งก้อน หรือไม่ป้องกันเลย
เพราะมั่นใจในการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนของตัวเอง
หรือเพราะกลัวว่า หากยิ่งพยายามปิดความเสี่ยง ผลตอบแทนสุทธิที่ได้อาจยิ่งต่ำลง
สรุปแล้ว ถึงจะมีความเข้าใจเรื่องของอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และกลยุทธ์แครี่เทรดเป็นอย่างดี ซึ่งก็สามารถลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้ จะไม่มีความเสี่ยงเลย

อีกทั้ง กลยุทธ์การลงทุน ที่ยังคงมีต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยง ก็คงไม่ถือเป็นกลยุทธ์ที่ “ไร้ความเสี่ยง” เสียทีเดียว..
References
- Anadolu Ajansı
- Bank of Japan
- CNBC
- ING Economics
- Investopedia
- National Bureau of Economic Research
- Trading Economics
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon