
สรุป 10 อคติ ที่เกิดขึ้นกับการลงทุน พร้อมวิธีแก้ ให้เราไม่ตกหลุมพราง
สรุป 10 อคติ ที่เกิดขึ้นกับการลงทุน พร้อมวิธีแก้ ให้เราไม่ตกหลุมพราง /โดย ลงทุนแมน
“ตกรถ” “ขายหมู” “หรือติดดอย”
แน่นอนว่า อาการแบบนี้ นักลงทุนในหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ล้วนต้องเคยเจอ
“ตกรถ” “ขายหมู” “หรือติดดอย”
แน่นอนว่า อาการแบบนี้ นักลงทุนในหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ล้วนต้องเคยเจอ
หนึ่งในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ขึ้นก็คือ “ความ Bias ของนักลงทุน”
ซึ่งถือเป็นเรื่องของอารมณ์ ที่เข้ามากระทบนักลงทุนที่กำลังปั้นพอร์ต ได้ตลอดเวลา
ซึ่งถือเป็นเรื่องของอารมณ์ ที่เข้ามากระทบนักลงทุนที่กำลังปั้นพอร์ต ได้ตลอดเวลา
ลงทุนแมน จะพาไปรู้จักกับ Bias หรือ อคติที่เกิดขึ้น
จากการลงทุนในระยะยาวทั้ง 10 รูปแบบ ไว้เป็นเช็กลิสต์ ว่าตอนนี้เรามีอคติแบบไหนอยู่ในใจบ้าง
พร้อมกับวิธีแก้อคติ เพื่อขัดเกลาไม่ให้เราแพ้ภัยตัวเองอีก.. เริ่มตั้งแต่
จากการลงทุนในระยะยาวทั้ง 10 รูปแบบ ไว้เป็นเช็กลิสต์ ว่าตอนนี้เรามีอคติแบบไหนอยู่ในใจบ้าง
พร้อมกับวิธีแก้อคติ เพื่อขัดเกลาไม่ให้เราแพ้ภัยตัวเองอีก.. เริ่มตั้งแต่
1. Confirmation Bias - อคติจากความชอบหุ้น
เกิดจากนักลงทุน “ชอบหุ้น” หรือ “ไม่ชอบหุ้น” ตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราชอบหุ้น A มากแบบหัวปักหัวปำ เราจะพยายามหยิบยกหรือยอมรับแต่ข้อมูลเชิงบวก
เพื่อมาสนับสนุนความคิด ว่าทำไมเราถึงชอบหุ้นตัวนี้ และอยากจะซื้อหุ้นตัวนี้
เพื่อมาสนับสนุนความคิด ว่าทำไมเราถึงชอบหุ้นตัวนี้ และอยากจะซื้อหุ้นตัวนี้
ในทางกลับกัน สมมติถ้าเรามีอคติไม่ชอบหุ้น B เราจะพยายามหยิบยกแต่ข้อมูลเชิงลบ
เพื่อมาสนับสนุนความคิดที่เราไม่ชอบ และเราก็จะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้นั่นเอง
เพื่อมาสนับสนุนความคิดที่เราไม่ชอบ และเราก็จะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้นั่นเอง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ก็จะทำให้เราขาดการมองหุ้นเพื่อลงทุนอย่างรอบด้าน
เพราะเราจะมองเฉพาะโอกาส จากการลงทุนหุ้น A อย่างเดียว
หรือมองเฉพาะความเสี่ยง จากการลงทุนหุ้น B เพียงอย่างเดียว
หรือมองเฉพาะความเสี่ยง จากการลงทุนหุ้น B เพียงอย่างเดียว
- วิธีแก้อคติคือ ลองมองหุ้นที่เราสนใจจากอีกมุมมองหนึ่ง อย่างเช่น
ถ้ามองเห็นโอกาส และอยากซื้อหุ้น A แล้ว
เราก็ต้องมองว่า “ความเสี่ยง” หรือเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากซื้อหุ้น A นั้น คืออะไร
เราก็ต้องมองว่า “ความเสี่ยง” หรือเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากซื้อหุ้น A นั้น คืออะไร
หรืออาจจะลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากเพื่อนหรือคนรอบข้าง ที่มีมุมมองเป็นกลางมากกว่า
ว่าหุ้น A ที่เรากำลังเชียร์ มีโอกาสในการเติบโตหรือมีความเสี่ยงใด
หรืออาจถามคนที่ไม่ชอบหุ้น A ว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบ เพื่อลองมาชั่งน้ำหนักว่าเราควรตัดสินใจซื้อหรือไม่
ว่าหุ้น A ที่เรากำลังเชียร์ มีโอกาสในการเติบโตหรือมีความเสี่ยงใด
หรืออาจถามคนที่ไม่ชอบหุ้น A ว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบ เพื่อลองมาชั่งน้ำหนักว่าเราควรตัดสินใจซื้อหรือไม่
2. Herd Behavior - อคติจากพวกมากลากไป
เกิดจากนักลงทุน ตัดสินใจซื้อขาย โดยอิงจากสิ่งที่คนหมู่มากทำ
มากกว่าการทำการบ้าน หรือวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นด้วยตัวเอง
มากกว่าการทำการบ้าน หรือวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นด้วยตัวเอง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ เวลาคนส่วนมากซื้อหุ้น เราก็อาจจะซื้อหุ้นตาม
เพราะกลัวพลาดโอกาสซื้อ ซึ่งจะเรียกว่าภาวะ FOMO หรือ Fear Of Missing Out
จนทำให้บางครั้งหุ้นที่เราซื้ออาจมีราคาสูงไปมาก และที่สำคัญ เป็นหุ้นที่เราไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ
เพราะกลัวพลาดโอกาสซื้อ ซึ่งจะเรียกว่าภาวะ FOMO หรือ Fear Of Missing Out
จนทำให้บางครั้งหุ้นที่เราซื้ออาจมีราคาสูงไปมาก และที่สำคัญ เป็นหุ้นที่เราไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ
ในทางกลับกัน เวลาคนหมู่มากเทขายหุ้น เราก็อาจแพนิกจนอยากจะเทขายหุ้นตาม
จนบางครั้งราคาที่เทขาย อาจถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง
จนบางครั้งราคาที่เทขาย อาจถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง
- วิธีแก้อคติคือ ฝึกคิด วิเคราะห์ และประเมินมูลค่าธุรกิจด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจอย่างอิสระ
3. Authority Bias - อคติเพราะเชื่อเซียนมากเกินไป
เกิดจากนักลงทุน มีแนวโน้มเชื่อเซียน ผู้เชี่ยวชาญ หรือเชื่อนักวิเคราะห์จากสำนักต่าง ๆ มากจนเกินไป
อาจเพราะพวกเขามีประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถที่เหนือกว่า
อาจเพราะพวกเขามีประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถที่เหนือกว่า
โดยลืมคิดไปว่า ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ ก็มีโอกาสพลาดได้เช่นเดียวกัน
- เมื่อมีอคติแบบนี้ จะทำให้เราขาดการคิด วิเคราะห์ธุรกิจและพื้นฐานกิจการต่าง ๆ อย่างรอบด้านด้วยตัวเอง
ซึ่งถ้ายิ่งมีอคติแบบนี้มาก ๆ ก็อาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือการถูกปั่นราคาหุ้นได้เช่นกัน
- วิธีแก้อคติคือ ฝึกประเมินมูลค่าธุรกิจ และตัดสินใจอย่างอิสระ
โดยอาจเอาหุ้นที่เซียนบอกมาทำการบ้านด้วยตัวเองต่อก็ได้
และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็พลาดท่าได้เหมือนกัน..
โดยอาจเอาหุ้นที่เซียนบอกมาทำการบ้านด้วยตัวเองต่อก็ได้
และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็พลาดท่าได้เหมือนกัน..
4. Anchoring Bias - อคติจากความเชื่อในข้อมูลแรก
เกิดจากการนำตัวเลขแรก หรือข้อมูลแรก เพื่อใช้เป็น “จุดยึด” ในการตัดสินใจ ยกตัวอย่าง
ราคาหุ้น A เคยทำราคาที่ 100 บาท ตอนนี้ราคาลงมาเหลือ 70 บาท
เมื่อประเมินมูลค่าดูแล้วราคาหุ้นก็ยังไม่แพงมาก
เมื่อประเมินมูลค่าดูแล้วราคาหุ้นก็ยังไม่แพงมาก
นักลงทุนก็อาจจะซื้อหุ้น A ที่ราคา 70 บาท เพราะว่ามีมูลค่าถูก
และคิดว่าอาจจะมีโอกาสขึ้นไปเป็น 100 บาทเหมือนเดิม
และคิดว่าอาจจะมีโอกาสขึ้นไปเป็น 100 บาทเหมือนเดิม
- เมื่อมีอคติแบบนี้ จะทำให้นักลงทุนหลงคิดว่า ราคาหุ้นที่กำลังซื้อนั้นถูกลงกว่าเดิมมาก
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ราคาหุ้นในอดีต ไม่ได้มีอิทธิพลใด ๆ ต่อราคาหุ้นในอนาคต
ที่สำคัญหุ้นที่ราคาถูกลงมา อาจจะมีเหตุผลลึก ๆ ซ่อนอยู่ อย่างเช่น พื้นฐานของกิจการที่เปลี่ยนไป หรือบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง
ที่สำคัญหุ้นที่ราคาถูกลงมา อาจจะมีเหตุผลลึก ๆ ซ่อนอยู่ อย่างเช่น พื้นฐานของกิจการที่เปลี่ยนไป หรือบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง
หรือแม้แต่ ราคาหุ้นที่ผ่านมา มันสูงเกินไป การที่ราคาปรับตัวลดลง ก็สมเหตุสมผลแล้ว..
- วิธีแก้อคติคือ ปล่อยวางจากการยึดติดกับราคาในอดีต
โฟกัสกับราคาและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจจริง ๆ ในอนาคต เพื่อประเมินมูลค่าใหม่
โฟกัสกับราคาและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจจริง ๆ ในอนาคต เพื่อประเมินมูลค่าใหม่
และให้ตั้งคำถามว่า ทำไมราคาหุ้น A ถึงร่วงลงมา
แล้วเช็กว่ามาจากปัจจัยระยะสั้น หรือมาจากพื้นฐานการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
แล้วเช็กว่ามาจากปัจจัยระยะสั้น หรือมาจากพื้นฐานการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
5. Loss Aversion - รังเกียจการขาดทุน
อคติ ที่เกิดจากการไวต่อความเสียใจ มากกว่าความดีใจ ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อเราขายหุ้นออกมา 2 ตัว
ตัวหนึ่งมีกำไร 5,000 บาท และอีกตัวขาดทุน 5,000 บาท
เราจะรู้สึกเสียใจจากการขาดทุน มากกว่ารู้สึกดีใจจากการทำกำไร
ตัวหนึ่งมีกำไร 5,000 บาท และอีกตัวขาดทุน 5,000 บาท
เราจะรู้สึกเสียใจจากการขาดทุน มากกว่ารู้สึกดีใจจากการทำกำไร
- เมื่อมีอคติแบบนี้ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นคือ เราเลือกที่จะขายหุ้น (ดี) ที่มีกำไรออกจากพอร์ต
เราจะไม่กล้า Cut Loss หุ้น (แย่) ที่ขาดทุนทิ้ง เพราะหวังว่าสักวันราคาหุ้นจะเด้งกลับขึ้นมา.. แม้พื้นฐานระยะยาวของหุ้นตัวนั้นจะเปลี่ยนไปแล้ว
เราจะไม่กล้า Cut Loss หุ้น (แย่) ที่ขาดทุนทิ้ง เพราะหวังว่าสักวันราคาหุ้นจะเด้งกลับขึ้นมา.. แม้พื้นฐานระยะยาวของหุ้นตัวนั้นจะเปลี่ยนไปแล้ว
- วิธีแก้อคติคือ ให้ลืมเรื่องต้นทุนที่เราเคยซื้อมา
แล้วประเมินมูลค่าของพื้นฐานกิจการในปัจจุบัน ว่าควรช้อนซื้อ ควรถือไว้เพื่อรอดูสถานการณ์
หรือควรจะ Cut Loss เพื่อขายทิ้ง
แล้วประเมินมูลค่าของพื้นฐานกิจการในปัจจุบัน ว่าควรช้อนซื้อ ควรถือไว้เพื่อรอดูสถานการณ์
หรือควรจะ Cut Loss เพื่อขายทิ้ง
รวมถึงมองเรื่องค่าเสียโอกาส ที่เราสามารถนำเงินทุนส่วนที่เหลือ (ของหุ้นที่ขาดทุน) ไปลงทุนกับหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า
6. Overconfidence Bias - มีความมั่นใจสูง
เกิดจากมั่นใจความสามารถในการเลือกหุ้นของตัวเอง เกินกว่าความเป็นจริง
หรือความมั่นใจต่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
โดยมีความมั่นใจมากว่า หุ้นตัวนี้ จะเติบโตเท่านี้
ธุรกิจของหุ้นตัวนี้ คู่แข่งสู้ไม่ได้
หุ้นตัวนี้จะกลายเป็นหุ้นบลูชิป ที่มีมูลค่าเพิ่มอีกหลายเด้ง
หรือความมั่นใจต่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
โดยมีความมั่นใจมากว่า หุ้นตัวนี้ จะเติบโตเท่านี้
ธุรกิจของหุ้นตัวนี้ คู่แข่งสู้ไม่ได้
หุ้นตัวนี้จะกลายเป็นหุ้นบลูชิป ที่มีมูลค่าเพิ่มอีกหลายเด้ง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุนอาจซื้อหุ้นตัวนั้นเข้ามาในพอร์ตเป็นจำนวนมาก
จนมองข้ามความเสี่ยงบางอย่างไป
จนมองข้ามความเสี่ยงบางอย่างไป
- วิธีแก้อคติคือ ให้กระจายความเสี่ยงจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ควรกระจุกแต่หุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เรามั่นใจมาก ๆ เพียงแค่ไม่กี่ตัว เผื่อเวลาเราพลาด จะได้ไม่เจ็บตัวหนัก
ไม่ควรกระจุกแต่หุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เรามั่นใจมาก ๆ เพียงแค่ไม่กี่ตัว เผื่อเวลาเราพลาด จะได้ไม่เจ็บตัวหนัก
7. Disposition Effect - อคติจากอารมณ์
คือเมื่อได้กำไรถึงจุดหนึ่งแล้ว เราจะขายหุ้นเร็วเกินไป
แต่พอเป็นหุ้นที่ขาดทุนมาก ๆ เรากลับไม่ยอมขาย
แต่พอเป็นหุ้นที่ขาดทุนมาก ๆ เรากลับไม่ยอมขาย
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้เราอาจจะบริหารเงินทุนก้อนนี้ได้ไม่มีประสิทธิภาพ จนอาจจะ
“ขายหมู” กับหุ้นบางตัว ที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
หรืออาจมีมูลค่าตลาดที่มากกว่าเดิมในอนาคต
หรืออาจมีมูลค่าตลาดที่มากกว่าเดิมในอนาคต
หรืออาจจะ “ติดดอย” กับหุ้นบางตัว ที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน
หรือต่อไปก็อาจมีมูลค่าตลาดที่น้อยลงกว่าเดิม
หรือต่อไปก็อาจมีมูลค่าตลาดที่น้อยลงกว่าเดิม
- วิธีแก้อคติคือ ให้พยายามจดบันทึกตั้งแต่ตอนเลือกหุ้น
ว่าตอนแรกที่เราตัดสินใจอยากซื้อหุ้นนี้ เป็นเพราะอะไร มาถึงวันนี้ เราอยากขายออกไปเพราะอะไร
ว่าตอนแรกที่เราตัดสินใจอยากซื้อหุ้นนี้ เป็นเพราะอะไร มาถึงวันนี้ เราอยากขายออกไปเพราะอะไร
เพื่อพิจารณาถึงเหตุผลของการตัดสินใจเลือกซื้อขายหุ้นของเรานั้น
ว่ามีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ?
ว่ามีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ?
8. Framing Effect - อคติจากการตัดสินใจ เมื่อวิธีนำเสนอแตกต่างกัน
คือข้อมูลจากบริษัทเดียวกัน แต่ถูกนำเสนอด้วยคำพูดและวิธีอธิบายที่แตกต่างกัน
ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ยกตัวอย่างการนำเสนอจากผู้บริหาร 2 แบบ
แบบ A ผู้บริหารของเชนร้านอาหาร ที่ออกมาประกาศรายได้ 20% และมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 40%
แบบ B ผู้บริหารของเชนร้านอาหาร ที่ออกมาประกาศรายได้ 20% แต่มียอดขายต่อสาขาลดลง 14.3%
แบบ B ผู้บริหารของเชนร้านอาหาร ที่ออกมาประกาศรายได้ 20% แต่มียอดขายต่อสาขาลดลง 14.3%
แม้งบที่ออกมานั้นเหมือนกัน แต่ผู้บริหารเลือกนำเสนอตามรูปแบบ A
ซึ่งเมื่อฟังดูแล้ว ก็อาจเป็นวิธีการนำเสนอที่ดูดีกว่ารูปแบบ B
ซึ่งเมื่อฟังดูแล้ว ก็อาจเป็นวิธีการนำเสนอที่ดูดีกว่ารูปแบบ B
- เมื่อเราลองฟังผู้บริหารแบบนี้ ก็อาจเกิด Framing Effect ถ้าไม่รอบคอบพอ
เพราะจากการนำเสนอในรูปแบบ A ด้วยสตอรีที่มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถขยายสาขาได้มากขึ้น
แต่ลืมคิดในมุมของ “ยอดขายต่อสาขา” ที่ลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารไม่ได้พูดออกไป
แต่ลืมคิดในมุมของ “ยอดขายต่อสาขา” ที่ลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารไม่ได้พูดออกไป
- วิธีแก้อคติคือ ให้หลีกเลี่ยงการฟังผู้บริหาร หรือฟังนักวิเคราะห์จากช่องทางสื่อเพียงแค่มุมเดียว
และพยายามอ่านเอกสารของบริษัท อย่างเช่น เอกสารนำเสนอ งบการเงินรายไตรมาส
หรือ Annual Report อย่างละเอียด
และพยายามอ่านเอกสารของบริษัท อย่างเช่น เอกสารนำเสนอ งบการเงินรายไตรมาส
หรือ Annual Report อย่างละเอียด
นอกจากนี้ เราควรจะนำข้อมูลของบริษัทที่เราสนใจ
ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย
ว่าบริษัทไหนมี Performance หรือศักยภาพในการแข่งขันที่ดีกว่ากัน
ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย
ว่าบริษัทไหนมี Performance หรือศักยภาพในการแข่งขันที่ดีกว่ากัน
9. Recency Bias - อคติเพราะข้อมูลในปัจจุบัน
อคติแบบนี้ เกิดจากการที่นักลงทุน ให้น้ำหนักกับข่าว และข้อมูลเฉพาะหุ้น หรือกองทุนในปัจจุบันมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน ที่เพิ่งทำผลงานได้ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา
โดยมีความเชื่อว่ากองทุนนั้น จะยังคงทำผลงานได้ดีต่อไปในอนาคต
โดยมีความเชื่อว่ากองทุนนั้น จะยังคงทำผลงานได้ดีต่อไปในอนาคต
หรืออีกตัวอย่างคือ นักลงทุนเลือกขายหุ้นที่กำลังราคาตกอย่างรุนแรง เพียงเพราะข่าวในแง่ลบระยะสั้น
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุนอยากตัดสินใจรีบซื้อ หรือขายหุ้น
เพียงเพราะสตอรี หรือข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือไม่
และปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ผ่านมา จะยังคงมีผลต่อไปในอนาคตหรือเปล่า
เพียงเพราะสตอรี หรือข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือไม่
และปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ผ่านมา จะยังคงมีผลต่อไปในอนาคตหรือเปล่า
- วิธีแก้อคติคือ กลับไปดูที่พื้นฐานของบริษัท เช็กว่าเมื่อมีข่าวร้ายหรือข่าวดีออกมานั้น
จะทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ?
จะทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ?
หรืออีกอย่างคือ นักลงทุนต้องคิดเสมอว่าผลตอบแทนในปัจจุบัน
ไม่ได้การันตีว่าในอนาคต การซื้อหุ้นหรือกองทุนที่เราสนใจอยู่ จะให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนปีนี้
ไม่ได้การันตีว่าในอนาคต การซื้อหุ้นหรือกองทุนที่เราสนใจอยู่ จะให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนปีนี้
10. Cognitive Dissonance - อคติจากความเชื่อแบบฝังรากลึก
เกิดจากการที่นักลงทุน เชื่อในการลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแบบฝังรากลึก
โดยปฏิเสธข่าวไม่ดี ปฏิเสธข้อเท็จจริงใหม่ ๆ หรือปฏิเสธสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
โดยปฏิเสธข่าวไม่ดี ปฏิเสธข้อเท็จจริงใหม่ ๆ หรือปฏิเสธสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุน มีความรักในกิจการที่ตัวเองถือหุ้นอยู่มาก ๆ
เมื่อมีข่าวดีต่อหุ้นก็จะดีใจมาก ๆ แต่เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามาเมื่อไร
ก็จะบิดเบือนความจริง และพยายามจะเปลี่ยนเป็นข้อดีให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น
ก็จะบิดเบือนความจริง และพยายามจะเปลี่ยนเป็นข้อดีให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อผู้บริหารหุ้นที่นักลงทุนชอบ เกิดทุจริต หรือตกแต่งบัญชี นักลงทุนก็จะพยายามบิดเบือนข่าว
ว่านั่นอาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
ว่านั่นอาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
หรือกำลังคิดว่าอาจมีผู้บริหารคนใหม่ เข้ามาแก้ไขสถานการณ์นี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น
- วิธีแก้อคติคือ ให้ยอมรับความจริงว่า ในโลกของการลงทุน เราไม่ได้คิดถูกทั้งหมด
อย่างที่ จอร์จ โซรอส ได้บอกว่า
อย่างที่ จอร์จ โซรอส ได้บอกว่า
“สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่คือเวลาที่ถูก คุณทำกำไรได้เท่าไร
และเวลาที่ผิด คุณเสียหายแค่ไหน”
และเวลาที่ผิด คุณเสียหายแค่ไหน”
ซึ่งจากประโยคนี้ ก็จะเห็นได้ว่า เรื่องการกระจายความเสี่ยงก็เป็นอีกเรื่อง
ที่จะช่วยป้องกันเราจาก Cognitive Dissonance ได้เช่นกัน..
ที่จะช่วยป้องกันเราจาก Cognitive Dissonance ได้เช่นกัน..
ทั้งหมดนี้ ก็คือตัวอย่างของ Bias ทั้ง 10 รูปแบบ
ที่เกิดขึ้นระหว่างการลงทุนเพื่อปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว
ที่เกิดขึ้นระหว่างการลงทุนเพื่อปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว
Bias เหล่านี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกครั้ง ที่มีข่าวดี ข่าวร้าย
ช่วงที่งบของกิจการออก หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นสารพัด
ช่วงที่งบของกิจการออก หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นสารพัด
เมื่อมี Bias มากระทบนักลงทุนอย่างเรา ๆ ทางที่ดีคือ
เราต้องมีวิธีการรับมือ เพื่อขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมการลงทุน ให้เกิด Bias น้อยที่สุด..
เราต้องมีวิธีการรับมือ เพื่อขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมการลงทุน ให้เกิด Bias น้อยที่สุด..