สรุป 10 อคติ ที่เกิดขึ้นกับการลงทุน พร้อมวิธีแก้ ให้เราไม่ตกหลุมพราง

สรุป 10 อคติ ที่เกิดขึ้นกับการลงทุน พร้อมวิธีแก้ ให้เราไม่ตกหลุมพราง

สรุป 10 อคติ ที่เกิดขึ้นกับการลงทุน พร้อมวิธีแก้ ให้เราไม่ตกหลุมพราง /โดย ลงทุนแมน
“ตกรถ” “ขายหมู” “หรือติดดอย”
แน่นอนว่า อาการแบบนี้ นักลงทุนในหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ล้วนต้องเคยเจอ
หนึ่งในสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ขึ้นก็คือ “ความ Bias ของนักลงทุน”
ซึ่งถือเป็นเรื่องของอารมณ์ ที่เข้ามากระทบนักลงทุนที่กำลังปั้นพอร์ต ได้ตลอดเวลา
ลงทุนแมน จะพาไปรู้จักกับ Bias หรือ อคติที่เกิดขึ้น
จากการลงทุนในระยะยาวทั้ง 10 รูปแบบ ไว้เป็นเช็กลิสต์ ว่าตอนนี้เรามีอคติแบบไหนอยู่ในใจบ้าง
พร้อมกับวิธีแก้อคติ เพื่อขัดเกลาไม่ให้เราแพ้ภัยตัวเองอีก.. เริ่มตั้งแต่
1. Confirmation Bias - อคติจากความชอบหุ้น
เกิดจากนักลงทุน “ชอบหุ้น” หรือ “ไม่ชอบหุ้น” ตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราชอบหุ้น A มากแบบหัวปักหัวปำ เราจะพยายามหยิบยกหรือยอมรับแต่ข้อมูลเชิงบวก
เพื่อมาสนับสนุนความคิด ว่าทำไมเราถึงชอบหุ้นตัวนี้ และอยากจะซื้อหุ้นตัวนี้
ในทางกลับกัน สมมติถ้าเรามีอคติไม่ชอบหุ้น B เราจะพยายามหยิบยกแต่ข้อมูลเชิงลบ
เพื่อมาสนับสนุนความคิดที่เราไม่ชอบ และเราก็จะไม่ซื้อหุ้นตัวนี้นั่นเอง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ก็จะทำให้เราขาดการมองหุ้นเพื่อลงทุนอย่างรอบด้าน
เพราะเราจะมองเฉพาะโอกาส จากการลงทุนหุ้น A อย่างเดียว
หรือมองเฉพาะความเสี่ยง จากการลงทุนหุ้น B เพียงอย่างเดียว
- วิธีแก้อคติคือ ลองมองหุ้นที่เราสนใจจากอีกมุมมองหนึ่ง อย่างเช่น
ถ้ามองเห็นโอกาส และอยากซื้อหุ้น A แล้ว
เราก็ต้องมองว่า “ความเสี่ยง” หรือเหตุผลที่ทำให้เราไม่อยากซื้อหุ้น A นั้น คืออะไร
หรืออาจจะลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จากเพื่อนหรือคนรอบข้าง ที่มีมุมมองเป็นกลางมากกว่า
ว่าหุ้น A ที่เรากำลังเชียร์ มีโอกาสในการเติบโตหรือมีความเสี่ยงใด
หรืออาจถามคนที่ไม่ชอบหุ้น A ว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบ เพื่อลองมาชั่งน้ำหนักว่าเราควรตัดสินใจซื้อหรือไม่
2. Herd Behavior - อคติจากพวกมากลากไป
เกิดจากนักลงทุน ตัดสินใจซื้อขาย โดยอิงจากสิ่งที่คนหมู่มากทำ
มากกว่าการทำการบ้าน หรือวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นด้วยตัวเอง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ เวลาคนส่วนมากซื้อหุ้น เราก็อาจจะซื้อหุ้นตาม
เพราะกลัวพลาดโอกาสซื้อ ซึ่งจะเรียกว่าภาวะ FOMO หรือ Fear Of Missing Out
จนทำให้บางครั้งหุ้นที่เราซื้ออาจมีราคาสูงไปมาก และที่สำคัญ เป็นหุ้นที่เราไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ
ในทางกลับกัน เวลาคนหมู่มากเทขายหุ้น เราก็อาจแพนิกจนอยากจะเทขายหุ้นตาม
จนบางครั้งราคาที่เทขาย อาจถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง
- วิธีแก้อคติคือ ฝึกคิด วิเคราะห์ และประเมินมูลค่าธุรกิจด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดการตัดสินใจอย่างอิสระ
3. Authority Bias - อคติเพราะเชื่อเซียนมากเกินไป
เกิดจากนักลงทุน มีแนวโน้มเชื่อเซียน ผู้เชี่ยวชาญ หรือเชื่อนักวิเคราะห์จากสำนักต่าง ๆ มากจนเกินไป
อาจเพราะพวกเขามีประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถที่เหนือกว่า
โดยลืมคิดไปว่า ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ ก็มีโอกาสพลาดได้เช่นเดียวกัน
- เมื่อมีอคติแบบนี้ จะทำให้เราขาดการคิด วิเคราะห์ธุรกิจและพื้นฐานกิจการต่าง ๆ อย่างรอบด้านด้วยตัวเอง
ซึ่งถ้ายิ่งมีอคติแบบนี้มาก ๆ ก็อาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของข่าวลือ หรือการถูกปั่นราคาหุ้นได้เช่นกัน
- วิธีแก้อคติคือ ฝึกประเมินมูลค่าธุรกิจ และตัดสินใจอย่างอิสระ
โดยอาจเอาหุ้นที่เซียนบอกมาทำการบ้านด้วยตัวเองต่อก็ได้
และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็พลาดท่าได้เหมือนกัน..
4. Anchoring Bias - อคติจากความเชื่อในข้อมูลแรก
เกิดจากการนำตัวเลขแรก หรือข้อมูลแรก เพื่อใช้เป็น “จุดยึด” ในการตัดสินใจ ยกตัวอย่าง
ราคาหุ้น A เคยทำราคาที่ 100 บาท ตอนนี้ราคาลงมาเหลือ 70 บาท
เมื่อประเมินมูลค่าดูแล้วราคาหุ้นก็ยังไม่แพงมาก
นักลงทุนก็อาจจะซื้อหุ้น A ที่ราคา 70 บาท เพราะว่ามีมูลค่าถูก
และคิดว่าอาจจะมีโอกาสขึ้นไปเป็น 100 บาทเหมือนเดิม
- เมื่อมีอคติแบบนี้ จะทำให้นักลงทุนหลงคิดว่า ราคาหุ้นที่กำลังซื้อนั้นถูกลงกว่าเดิมมาก
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ราคาหุ้นในอดีต ไม่ได้มีอิทธิพลใด ๆ ต่อราคาหุ้นในอนาคต
ที่สำคัญหุ้นที่ราคาถูกลงมา อาจจะมีเหตุผลลึก ๆ ซ่อนอยู่ อย่างเช่น พื้นฐานของกิจการที่เปลี่ยนไป หรือบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง
หรือแม้แต่ ราคาหุ้นที่ผ่านมา มันสูงเกินไป การที่ราคาปรับตัวลดลง ก็สมเหตุสมผลแล้ว..
- วิธีแก้อคติคือ ปล่อยวางจากการยึดติดกับราคาในอดีต
โฟกัสกับราคาและสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจจริง ๆ ในอนาคต เพื่อประเมินมูลค่าใหม่
และให้ตั้งคำถามว่า ทำไมราคาหุ้น A ถึงร่วงลงมา
แล้วเช็กว่ามาจากปัจจัยระยะสั้น หรือมาจากพื้นฐานการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
5. Loss Aversion - รังเกียจการขาดทุน
อคติ ที่เกิดจากการไวต่อความเสียใจ มากกว่าความดีใจ ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อเราขายหุ้นออกมา 2 ตัว
ตัวหนึ่งมีกำไร 5,000 บาท และอีกตัวขาดทุน 5,000 บาท
เราจะรู้สึกเสียใจจากการขาดทุน มากกว่ารู้สึกดีใจจากการทำกำไร
- เมื่อมีอคติแบบนี้ พฤติกรรมที่เกิดขึ้นคือ เราเลือกที่จะขายหุ้น (ดี) ที่มีกำไรออกจากพอร์ต
เราจะไม่กล้า Cut Loss หุ้น (แย่) ที่ขาดทุนทิ้ง เพราะหวังว่าสักวันราคาหุ้นจะเด้งกลับขึ้นมา.. แม้พื้นฐานระยะยาวของหุ้นตัวนั้นจะเปลี่ยนไปแล้ว
- วิธีแก้อคติคือ ให้ลืมเรื่องต้นทุนที่เราเคยซื้อมา
แล้วประเมินมูลค่าของพื้นฐานกิจการในปัจจุบัน ว่าควรช้อนซื้อ ควรถือไว้เพื่อรอดูสถานการณ์
หรือควรจะ Cut Loss เพื่อขายทิ้ง
รวมถึงมองเรื่องค่าเสียโอกาส ที่เราสามารถนำเงินทุนส่วนที่เหลือ (ของหุ้นที่ขาดทุน) ไปลงทุนกับหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า
6. Overconfidence Bias - มีความมั่นใจสูง
เกิดจากมั่นใจความสามารถในการเลือกหุ้นของตัวเอง เกินกว่าความเป็นจริง
หรือความมั่นใจต่อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเกินไป
โดยมีความมั่นใจมากว่า หุ้นตัวนี้ จะเติบโตเท่านี้
ธุรกิจของหุ้นตัวนี้ คู่แข่งสู้ไม่ได้
หุ้นตัวนี้จะกลายเป็นหุ้นบลูชิป ที่มีมูลค่าเพิ่มอีกหลายเด้ง
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุนอาจซื้อหุ้นตัวนั้นเข้ามาในพอร์ตเป็นจำนวนมาก
จนมองข้ามความเสี่ยงบางอย่างไป
- วิธีแก้อคติคือ ให้กระจายความเสี่ยงจากการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
ไม่ควรกระจุกแต่หุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เรามั่นใจมาก ๆ เพียงแค่ไม่กี่ตัว เผื่อเวลาเราพลาด จะได้ไม่เจ็บตัวหนัก
7. Disposition Effect - อคติจากอารมณ์
คือเมื่อได้กำไรถึงจุดหนึ่งแล้ว เราจะขายหุ้นเร็วเกินไป
แต่พอเป็นหุ้นที่ขาดทุนมาก ๆ เรากลับไม่ยอมขาย
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้เราอาจจะบริหารเงินทุนก้อนนี้ได้ไม่มีประสิทธิภาพ จนอาจจะ
“ขายหมู” กับหุ้นบางตัว ที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
หรืออาจมีมูลค่าตลาดที่มากกว่าเดิมในอนาคต
หรืออาจจะ “ติดดอย” กับหุ้นบางตัว ที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน
หรือต่อไปก็อาจมีมูลค่าตลาดที่น้อยลงกว่าเดิม
- วิธีแก้อคติคือ ให้พยายามจดบันทึกตั้งแต่ตอนเลือกหุ้น
ว่าตอนแรกที่เราตัดสินใจอยากซื้อหุ้นนี้ เป็นเพราะอะไร มาถึงวันนี้ เราอยากขายออกไปเพราะอะไร
เพื่อพิจารณาถึงเหตุผลของการตัดสินใจเลือกซื้อขายหุ้นของเรานั้น
ว่ามีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ?
8. Framing Effect - อคติจากการตัดสินใจ เมื่อวิธีนำเสนอแตกต่างกัน
คือข้อมูลจากบริษัทเดียวกัน แต่ถูกนำเสนอด้วยคำพูดและวิธีอธิบายที่แตกต่างกัน
ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ยกตัวอย่างการนำเสนอจากผู้บริหาร 2 แบบ
แบบ A ผู้บริหารของเชนร้านอาหาร ที่ออกมาประกาศรายได้ 20% และมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 40%
แบบ B ผู้บริหารของเชนร้านอาหาร ที่ออกมาประกาศรายได้ 20% แต่มียอดขายต่อสาขาลดลง 14.3%
แม้งบที่ออกมานั้นเหมือนกัน แต่ผู้บริหารเลือกนำเสนอตามรูปแบบ A
ซึ่งเมื่อฟังดูแล้ว ก็อาจเป็นวิธีการนำเสนอที่ดูดีกว่ารูปแบบ B
- เมื่อเราลองฟังผู้บริหารแบบนี้ ก็อาจเกิด Framing Effect ถ้าไม่รอบคอบพอ
เพราะจากการนำเสนอในรูปแบบ A ด้วยสตอรีที่มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถขยายสาขาได้มากขึ้น
แต่ลืมคิดในมุมของ “ยอดขายต่อสาขา” ที่ลดลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารไม่ได้พูดออกไป
- วิธีแก้อคติคือ ให้หลีกเลี่ยงการฟังผู้บริหาร หรือฟังนักวิเคราะห์จากช่องทางสื่อเพียงแค่มุมเดียว
และพยายามอ่านเอกสารของบริษัท อย่างเช่น เอกสารนำเสนอ งบการเงินรายไตรมาส
หรือ Annual Report อย่างละเอียด
นอกจากนี้ เราควรจะนำข้อมูลของบริษัทที่เราสนใจ
ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันด้วย
ว่าบริษัทไหนมี Performance หรือศักยภาพในการแข่งขันที่ดีกว่ากัน
9. Recency Bias - อคติเพราะข้อมูลในปัจจุบัน
อคติแบบนี้ เกิดจากการที่นักลงทุน ให้น้ำหนักกับข่าว และข้อมูลเฉพาะหุ้น หรือกองทุนในปัจจุบันมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนตัดสินใจเลือกซื้อกองทุน ที่เพิ่งทำผลงานได้ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา
โดยมีความเชื่อว่ากองทุนนั้น จะยังคงทำผลงานได้ดีต่อไปในอนาคต
หรืออีกตัวอย่างคือ นักลงทุนเลือกขายหุ้นที่กำลังราคาตกอย่างรุนแรง เพียงเพราะข่าวในแง่ลบระยะสั้น
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุนอยากตัดสินใจรีบซื้อ หรือขายหุ้น
เพียงเพราะสตอรี หรือข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้สนใจว่าราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือไม่
และปัจจัยขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ผ่านมา จะยังคงมีผลต่อไปในอนาคตหรือเปล่า
- วิธีแก้อคติคือ กลับไปดูที่พื้นฐานของบริษัท เช็กว่าเมื่อมีข่าวร้ายหรือข่าวดีออกมานั้น
จะทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ?
หรืออีกอย่างคือ นักลงทุนต้องคิดเสมอว่าผลตอบแทนในปัจจุบัน
ไม่ได้การันตีว่าในอนาคต การซื้อหุ้นหรือกองทุนที่เราสนใจอยู่ จะให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนปีนี้
10. Cognitive Dissonance - อคติจากความเชื่อแบบฝังรากลึก
เกิดจากการที่นักลงทุน เชื่อในการลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่งแบบฝังรากลึก
โดยปฏิเสธข่าวไม่ดี ปฏิเสธข้อเท็จจริงใหม่ ๆ หรือปฏิเสธสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
- เมื่อมีอคติแบบนี้ ทำให้นักลงทุน มีความรักในกิจการที่ตัวเองถือหุ้นอยู่มาก ๆ
เมื่อมีข่าวดีต่อหุ้นก็จะดีใจมาก ๆ แต่เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามาเมื่อไร
ก็จะบิดเบือนความจริง และพยายามจะเปลี่ยนเป็นข้อดีให้ได้ ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อผู้บริหารหุ้นที่นักลงทุนชอบ เกิดทุจริต หรือตกแต่งบัญชี นักลงทุนก็จะพยายามบิดเบือนข่าว
ว่านั่นอาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
หรือกำลังคิดว่าอาจมีผู้บริหารคนใหม่ เข้ามาแก้ไขสถานการณ์นี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น
- วิธีแก้อคติคือ ให้ยอมรับความจริงว่า ในโลกของการลงทุน เราไม่ได้คิดถูกทั้งหมด
อย่างที่ จอร์จ โซรอส ได้บอกว่า
“สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่คือเวลาที่ถูก คุณทำกำไรได้เท่าไร
และเวลาที่ผิด คุณเสียหายแค่ไหน”
ซึ่งจากประโยคนี้ ก็จะเห็นได้ว่า เรื่องการกระจายความเสี่ยงก็เป็นอีกเรื่อง
ที่จะช่วยป้องกันเราจาก Cognitive Dissonance ได้เช่นกัน..
ทั้งหมดนี้ ก็คือตัวอย่างของ Bias ทั้ง 10 รูปแบบ
ที่เกิดขึ้นระหว่างการลงทุนเพื่อปั้นพอร์ตให้เติบโตในระยะยาว
Bias เหล่านี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกครั้ง ที่มีข่าวดี ข่าวร้าย
ช่วงที่งบของกิจการออก หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นสารพัด
เมื่อมี Bias มากระทบนักลงทุนอย่างเรา ๆ ทางที่ดีคือ
เราต้องมีวิธีการรับมือ เพื่อขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมการลงทุน ให้เกิด Bias น้อยที่สุด..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon