รู้จักโมเดลธุรกิจ “สโมสรฟุตบอล” ผ่านงบการเงินแมนยูฯ  เข้าตลาดหุ้นมา 13 ปี วันนี้มีมูลค่าเท่า ๆ เดิม..

รู้จักโมเดลธุรกิจ “สโมสรฟุตบอล” ผ่านงบการเงินแมนยูฯ เข้าตลาดหุ้นมา 13 ปี วันนี้มีมูลค่าเท่า ๆ เดิม..

รู้จักโมเดลธุรกิจ “สโมสรฟุตบอล” ผ่านงบการเงินแมนยูฯ
เข้าตลาดหุ้นมา 13 ปี วันนี้มีมูลค่าเท่า ๆ เดิม.. /โดย ลงทุนแมน
ก่อนศึกแมนเชสเตอร์ดาร์บี หรือการแข่งขันระหว่าง “แมนยูฯ” กับ “แมนซิตี” ในค่ำคืนนี้ ขอชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับธุรกิจสโมสรฟุตบอลกันก่อน
เพราะนอกจากจะเพิ่มความอินในการดูแล้ว ด้านความบันเทิงสมอง สโมสรฟุตบอลก็นับว่า เป็นหนึ่งในธุรกิจที่น่าสนใจศึกษาไม่น้อย จากความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเงินของบริษัทสามารถดีขึ้นหรือแย่ลง ด้วยผลการแข่งขัน, บุคลากรที่สามารถซื้อ-ขายได้ และเป็นค่าใช้จ่ายที่มีสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ และอื่น ๆ
โมเดลธุรกิจสโมสรฟุตบอลเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง ผ่านงบการเงินของแมนยูฯ สโมสรที่มีมูลค่า 85,000 ล้านบาท มากสุดในบรรดาสโมสรทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น รองลงมาก็จะเป็นสโมสรดอร์ทมุนท์จากเยอรมนี มูลค่า 15,000 ล้านบาท..
มาเริ่มกันที่ฝั่งของรายได้
ปกติแล้ว สโมสรฟุตบอลจะได้เงินจาก 3 ทางด้วยกัน
1. สปอนเซอร์และของที่ระลึก เช่น ชุดกีฬาทีม และสินค้าอื่น ๆ ที่มีโลโกทีม
2. ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขัน เช่น Premier League และ UEFA Europa League
3. ค่าบัตรเข้าชม โดยรายได้ส่วนนี้ของแมนยูฯ จะมาจากการจัดแข่งขันที่ Old Trafford สนามฟุตบอลของสโมสรนั่นเอง
โดยสปอนเซอร์และของที่ระลึก เป็นตัวที่สร้างเงินให้กับสโมสรฟุตบอลมากที่สุด สำหรับแมนยูฯ รายได้ส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 46% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด
ถ้าใครอยากรู้ว่า สปอนเซอร์หลัก ๆ ของแต่ละทีม คือบริษัทไหน
หนึ่งในวิธีสังเกตแบบง่าย ๆ คือ ดูจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่แปะบนเสื้อทีมได้เลย
อย่างแมนยูฯ คือ Qualcomm (Snapdragon), Tezos และ Adidas
ขณะที่ตัวที่สร้างเงินรองลงมาคือ ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขัน และสุดท้ายก็ไม่พ้นค่าบัตรเข้าชม
ซึ่งสัดส่วนรายได้แบบนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะแมนยูฯ เท่านั้น แต่รวมถึงสโมสรฟุตบอลอื่น ๆ ด้วย
ส่วนกำไรจากการขายนักเตะ จะไม่ได้อยู่ในรายได้ทั้ง 3 ประเภท แต่จัดเป็น “กำไรพิเศษ” อยู่ในงบบรรทัดล่าง ถัดจากค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขาย
แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ผลแพ้ชนะในการแข่งขัน ส่งผลต่อรายได้ของสโมสรจริงหรือไม่
คำตอบคือ มีผลต่อรายได้จริง และอาจกระทบมากกว่าที่คิด เพราะโดนรายได้ทุกส่วน
ยกตัวอย่างเหตุการณ์เพื่อให้เห็นภาพ Premier League ฤดูกาลก่อน ที่แมนยูฯ ได้อันดับ 15 ทำให้ได้เงินรางวัลตามอันดับในตารางน้อยลง ห่างจากทีม Top 3 เป็นหลายเท่าตัว
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ด้วยอันดับที่ไม่ดีใน Premier League ทำให้แมนยูฯ อดไปแข่ง UEFA Europa League ครั้งหน้า ทำให้รายได้ส่วนแบ่งลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากการแข่งขันนี้หายไปเลย
โดยฤดูกาลปี 2024-2025 รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ของการแข่งขันถ้วยยุโรปอยู่ที่ 53.8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,300 ล้านบาท) หรือคิดเป็น 8% ของรายได้ทั้งหมด
และในเมื่อเกมการแข่งขันในยุโรปลดลง ก็ทำให้แมนยูฯ เก็บค่าตั๋วเข้าชมได้น้อยลงตามไปด้วยอีก
ขณะที่รายได้หลักของสโมสร ที่มาจากเงินสปอนเซอร์ที่เข้ามา ก็สามารถโดนหักเงินได้เช่นกันหากผลลัพธ์ไม่ดี
ตัวอย่างเช่น หนึ่งในสปอนเซอร์สำคัญอย่าง Adidas ที่เซ็นสัญญากับแมนยูฯ​ ยาวไปถึงปี 2035 ด้วยเม็ดเงินรวมตลอดสัญญาราว 1,650 ล้านปอนด์ (ราว 71,000 ล้านบาท)
แต่ Adidas ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้าแมนยูฯ ไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรป ต้องโดนหักเงินสนับสนุนปีละ 10 ล้านปอนด์ หรือราว 430 ล้านบาท.. ซึ่งจะเริ่มต้นหักตั้งแต่ฤดูกาลปี 2025-2026 เป็นต้นไป
นั่นก็แปลว่า ในปีงบการเงินของฤดูกาลถัดไป แมนยูฯ จะเริ่มโดนหักเงินค่าสนับสนุนทีมจาก Adidas ทันที
สรุปแล้ว ผลแพ้ชนะในการแข่งขัน ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อธุรกิจ และจากตัวอย่าง ยังไม่นับผลลัพธ์อื่น ๆ ที่ตามมาในอนาคต เช่น หากทีมอยู่ท้ายตารางตลอด แฟนคลับหน้าใหม่ก็เพิ่มน้อยลง ขายของที่ระลึกยากขึ้น รวมถึงสปอนเซอร์อาจจะไม่ต่อสัญญา
ดังนั้นนักฟุตบอลจึงเปรียบเสมือนเครื่องจักรชิ้นสำคัญ ของธุรกิจสโมสรฟุตบอล ทำให้ธรรมชาติของธุรกิจนี้ ต้องมีการซื้อและขายนักฟุตบอลเป็นประจำทุกปี
ยกตัวอย่างเช่น ปีที่ผ่านมา แมนยูฯ ลงทุนซื้อนักเตะไปมากถึง 218.2 ล้านปอนด์ (ราว 9,400 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้เลยทีเดียว
ซึ่งก็ต้องบอกว่าการลงทุนซื้อนักเตะ จะไม่ได้ถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายก้อนเดียว แต่จะถูกตัดค่าเสื่อม/ค่าตัดจำหน่าย ออกตามอายุสัญญา
ตัวอย่างเช่น
- ถ้าสโมสรฟุตบอล A มีรายได้ 200 ล้านบาท
- ซื้อนักฟุตบอลมา 100 ล้านบาท ด้วยสัญญา 5 ปี
นักฟุตบอลคนนี้ จะมีค่าเสื่อม/ค่าตัดจำหน่าย = 100/5 = 20 ล้านบาทต่อปี
ลองมาคิดต่อกัน ถ้านักฟุตบอลคนเดิม เซ็นสัญญากับสโมสร 8 ปี ค่าเสื่อม/ค่าตัดจำหน่าย ต่อปีจะเหลือเพียง 12.5 ล้านบาท
เพียงเท่านี้ ก็ทำให้สโมสรมีกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ หากเซ็นสัญญานักฟุตบอล เป็นระยะเวลานาน ๆ
ในช่วงที่ผ่านมา วิธีนี้จึงได้ถูกหลาย ๆ สโมสรนำมาใช้ ยกตัวอย่างเช่น สโมสรฟุตบอลเชลซี ที่เซ็นสัญญานักเตะ 8 ปี
แต่ล่าสุดทาง UEFA ออกมาปรับเกณฑ์ทางบัญชี ให้หักค่าเสื่อม/ค่าตัดจำหน่าย นักฟุตบอล ได้ไม่เกิน 5 ปี แม้ว่าสัญญาจะยาวมากกว่านั้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการลงทุนซื้อนักเตะจะถูกแบ่งค่าใช้จ่ายเป็นหลายก้อน แต่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ยังคงสูงเป็นอันดับ 2 รองจากค่าตอบแทนของนักฟุตบอลและพนักงานเท่านั้น
ขณะที่งบแสดงฐานะการเงิน ก็มีความน่าสนใจตรงที่ สินทรัพย์มากกว่าครึ่งหนึ่งคือ สินทรัพย์ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) เช่น มูลค่าสัญญานักเตะ ซึ่งแมนซิตี ก็มีสินทรัพย์ไม่มีตัวตนที่สูงเช่นกัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
สโมสรแมนยูฯ จดทะเบียนเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2012
โดย IPO ที่ราคาหุ้นละ 14 ดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจุบัน ราคาหุ้นของแมนยูฯ อยู่ที่ 16.18 ดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นผลตอบแทน 15% ในช่วงเวลา 13 ปี
หรือเฉลี่ยปีละ 1% ต่อปี ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารไทย..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon