
“คำสาปเศรษฐกิจ” ของประเทศ ที่ไม่ติดทะเล
“คำสาปเศรษฐกิจ” ของประเทศ ที่ไม่ติดทะเล /โดย ลงทุนแมน
บนโลกนี้ มีราว 44 ประเทศ ที่ไม่ติดทะเล หรือที่เราเรียกกันว่าประเทศ Landlocked ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เนปาล
บนโลกนี้ มีราว 44 ประเทศ ที่ไม่ติดทะเล หรือที่เราเรียกกันว่าประเทศ Landlocked ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ เนปาล
การไม่ติดทะเล แปลว่า ประเทศนั้นอาจถูกตัดขาดกับการค้าโลกไปเลย เพราะกว่า 90% ของการค้าทั่วโลกมาจากทะเลแทบทั้งหมด
ดังนั้น การเป็นประเทศไม่ติดทะเล จึงกลายเป็นคำสาปเศรษฐกิจที่ประเทศนั้นต้องเจอ และเป็นโจทย์ที่ยากมากในการแก้ไข
แล้วคำสาปเศรษฐกิจนี้ จะไม่มีทางแก้ได้จริงหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ติดทะเล คือสวรรค์ของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนั้น เพราะแปลว่า เราจะเชื่อมต่อกับการค้าโลกได้แน่นอน
ไม่ว่าจะผลิตสินค้า แล้วส่งออกไปประเทศอื่น หรือนำเข้าสินค้ามาแปรรูป แล้วส่งออกขายต่อด้วยมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถทำได้ไม่ยาก
นอกจากส่งออกสินค้าแล้ว การติดทะเลยังทำให้เกิดการท่องเที่ยวตามมา เหมือนกับประเทศไทย ที่มีทะเลภาคใต้และตะวันออก จนดึงดูดเม็ดเงินแสนล้านบาทในทุก ๆ ปี
แต่ลองจินตนาการว่า ถ้าประเทศเราไม่ติดทะเล หันไปรอบ ๆ มีแค่ภูเขาสูง หรือล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้าน เศรษฐกิจของประเทศนั้นจะพัฒนาอย่างไรดี
คำตอบก็ตรงไปตรงมา คือต้องใช้ทรัพยากรที่ตัวเองมีอยู่อย่างจำกัดมาสร้างรายได้เข้าประเทศ
เพราะแม้ประเทศนั้นจะไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ก็ยังพอมีทรัพยากรธรรมชาติ เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
ซึ่งเนปาล ก็ใช้วิธีนี้มาลบคำสาปของประเทศไม่ติดทะเล
โดยใช้เทือกเขาหิมาลัย เป็นแม่เหล็กที่จะดึงเงินจากนักท่องเที่ยวเข้าประเทศของตัวเอง
โดยใช้เทือกเขาหิมาลัย เป็นแม่เหล็กที่จะดึงเงินจากนักท่องเที่ยวเข้าประเทศของตัวเอง
ทำให้แต่ละปี มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไม่ต่ำกว่าปีละล้านคน เกิดเป็นธุรกิจท่องเที่ยวตามมามากมาย เช่น รีสอร์ต โรงแรม ร้านอาหาร จนเรียกได้ว่า ก็น่าจะสร้างงานให้คนเนปาลได้ไม่น้อย
อ่านแค่นี้ เราก็คงเข้าใจว่าเนปาลคงหลุดพ้นคำสาปของประเทศไม่ติดทะเลไปแล้ว และก็น่าจะพึ่งพาการท่องเที่ยวแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ได้
แต่จริง ๆ แล้ว เนปาลยังคงติดกับดักคำสาปนี้ต่อไป..
เพราะเทือกเขาหิมาลัยไม่ได้เที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่จะเที่ยวได้ราว 3 เดือนเท่านั้น แปลว่า อีก 9 เดือนที่เหลือ นักท่องเที่ยวจะน้อยลงกว่าปกติเยอะมาก
ดังนั้น การพึ่งพานักท่องเที่ยวตรงนี้จึงไม่ได้ดึงเงินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่จะดึงเงินเข้ามาได้ในบางช่วงเท่านั้นเอง
เมื่อไม่สามารถพึ่งพาการท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา เนปาลจึงต้องหันไปพึ่งพาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมแทน
แต่ด้วยภาคเกษตรกรรมที่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ แถมอุตสาหกรรมก็ยังพึ่งพาเทคโนโลยีไม่ซับซ้อน
สุดท้ายทำให้เนปาลยังยากจนอยู่เหมือนเดิม
สุดท้ายทำให้เนปาลยังยากจนอยู่เหมือนเดิม
ถึงตรงนี้ คำถามคือ แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยหรือ
ที่ประเทศไม่ติดทะเล จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้ ?
ที่ประเทศไม่ติดทะเล จะหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้ ?
คำตอบคือ เป็นไปได้ ถ้าประเทศนั้นสามารถทำ 2 เงื่อนไขต่อไปนี้ได้สำเร็จ
เงื่อนไขแรก คือ ประเทศไม่ติดทะเล ต้องเชื่อมต่อกับประเทศอื่นที่ติดทะเลด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ดี
ตัวอย่างที่ชัดมากคงหนีไม่พ้นประเทศในยุโรป ที่เชื่อมต่อกันด้วยระบบโครงข่ายรถไฟ ทำให้ประเทศไม่ติดทะเล
ส่งออกสินค้าไปท่าเรือได้สะดวกมากขึ้น
ส่งออกสินค้าไปท่าเรือได้สะดวกมากขึ้น
เพราะโครงข่ายรถไฟ ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าถูกลงจากการส่งสินค้าได้ครั้งละมาก ๆ ซึ่งช่วยให้ต้นทุนการผลิตสินค้าส่งออกของประเทศไม่ติดทะเลลดลงได้มาก
แต่ปัญหาคือ ถ้าประเทศนั้นมีขนาดเล็ก แม้ต้นทุนการ
ส่งออกสินค้าทางรถไฟจะลดลงแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็แข่งขันราคากับประเทศอื่นได้ยากอยู่ดี
ส่งออกสินค้าทางรถไฟจะลดลงแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็แข่งขันราคากับประเทศอื่นได้ยากอยู่ดี
ตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตร ที่สามารถแข่งขันราคากับประเทศอื่นได้ ก็ต้องใช้การปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อกดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง
และถ้าไม่มีพื้นที่ขนาดใหญ่แบบนั้น ก็ต้องทำให้ผลผลิต
ต่อไร่ของเกษตรกรสูงไปเลย เพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่อไร่ต่ำลงไปให้มากสุดเท่าที่จะทำได้
ต่อไร่ของเกษตรกรสูงไปเลย เพื่อให้ต้นทุนการผลิตต่อไร่ต่ำลงไปให้มากสุดเท่าที่จะทำได้
ซึ่งเรื่องนี้แม้ฟังดูง่าย แต่ก็ทำได้ไม่ง่ายเลย
ดังนั้นบางประเทศที่ไม่ติดทะเล จึงต้องหันไปทำเงื่อนไขที่ 2 ควบคู่ตามไปด้วย
เงื่อนไขนั้น ก็คือ การผลิตสินค้าที่เน้นคุณภาพไปเลย
ตัวอย่างเช่น ลิกเตนสไตน์ ประเทศที่เล็กกว่าฝั่งธนบุรีของกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่แค่ 158 ตารางกิโลเมตร แถมยังเป็นประเทศที่ไม่ติดทะเลแบบ 2 ชั้นอีกด้วย
ที่บอกว่า 2 ชั้น ก็เพราะว่าถ้าจะหาทางออกสู่ทะเล ต้องผ่านอย่างน้อย 2 ประเทศขึ้นไป
ด้วยพื้นที่ที่เล็กขนาดนี้ จึงแทบเป็นไปได้ยากที่จะผลิตสินค้า แล้วไปแข่งเรื่องราคากับประเทศอื่น ลิกเตนสไตน์จึงเลือกผลิตสินค้าที่เน้นคุณภาพและเฉพาะทางแทน
สินค้าที่ว่าก็คือ พวกอุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือหมอฟัน เครื่องจักรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีราคาแพง แต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพสูงสมราคา
นอกจากลิกเตนสไตน์แล้ว สวิตเซอร์แลนด์ยังเลือกใช้วิธีนี้
ในการหารายได้เข้าประเทศตัวเองอีกด้วย
ในการหารายได้เข้าประเทศตัวเองอีกด้วย
ตัวอย่างเช่น การนำเข้าโกโก้ที่ตัวเองปลูกไม่ได้ มาผสมกับผลิตภัณฑ์นมที่ตัวเองเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้กลายเป็นช็อกโกแลตส่งออกที่มีราคาแพงขึ้น
หรือแม้แต่นาฬิกาหรู ที่ผลิตด้วยขั้นตอนที่ละเอียดและซับซ้อนไปเลย จนสามารถขายได้ในราคาแพง เพราะคุณภาพของนาฬิกาสวิส มีชื่อเสียงที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
สรุปแล้ว แน่นอนว่าประเทศไม่ติดทะเล ก็เสียเปรียบมากกว่าประเทศที่ติดทะเล โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับการค้าโลกที่ซื้อขายผ่านทะเลกว่า 90%
แต่ก็มีบางประเทศ ที่สามารถลบคำสาปเศรษฐกิจของประเทศไม่ติดทะเลได้สำเร็จ ซึ่งมาจากการมีโครงสร้าง
พื้นฐานเชื่อมต่อกับประเทศอื่น และการผลิตสินค้าที่เน้นคุณภาพสูงไปเลย
พื้นฐานเชื่อมต่อกับประเทศอื่น และการผลิตสินค้าที่เน้นคุณภาพสูงไปเลย
ทั้งนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าประเทศไม่ติดทะเล จะเลือกลบคำสาปเศรษฐกิจแบบไหนก็ตาม
นั่นคือ “คน” ที่เป็นแรงงานหลักในการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า
นั่นคือ “คน” ที่เป็นแรงงานหลักในการพัฒนาประเทศไปข้างหน้า
ซึ่งถ้าคนย้ายออกไปทำงานที่อื่น เพราะออกไปแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า เมื่อนั้นก็กลายเป็นหายนะของประเทศ
ที่ไม่มีแรงงานมาพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ที่ไม่มีแรงงานมาพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับเนปาลตอนนี้ ที่มีคนเนปาลราวปีละ 70,000 คน ออกไปทำงานต่างประเทศ เพื่อชีวิตที่ดีกว่าการทำงานอยู่ในประเทศแทน..