การคืนชีพของ 2 บริษัท ที่คุมสินเชื่อบ้าน 70% ของอเมริกา กำลัง IPO เข้าตลาดหุ้น

การคืนชีพของ 2 บริษัท ที่คุมสินเชื่อบ้าน 70% ของอเมริกา กำลัง IPO เข้าตลาดหุ้น

การคืนชีพของ 2 บริษัท ที่คุมสินเชื่อบ้าน 70% ของอเมริกา กำลัง IPO เข้าตลาดหุ้น /โดย ลงทุนแมน
แฟนนี เม (Fannie Mae) และเฟรดดี แมค (Freddie Mac) 2 ธุรกิจผู้คุมสินเชื่อบ้านของสหรัฐฯ ที่เคยเกือบล้มละลายในวิกฤติซับไพรม์
มาวันนี้ ทั้ง 2 ธุรกิจ นอกจากสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้แล้ว ยังเติบโตจนมีมูลค่าสุทธิ (Net Worth) รวมกันที่ 5.55 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดของประเทศไทย ที่มีมูลค่าราว 3.34 ล้านล้านบาท
ซึ่งมูลค่าสุทธิ (Net Worth) คือ มูลค่าของสินทรัพย์รวมทั้งหมด หักด้วย หนี้สินรวมทั้งหมด
มูลค่าที่เติบโตขึ้น เป็นเหตุให้มีการวางแผนนำทั้ง 2 ธุรกิจ กลับมา IPO ในตลาดหุ้นอีกครั้ง
เพราะอะไร แฟนนี เม และเฟรดดี แมค จึงกลายเป็นผู้รอดจากวิกฤติ และอาจจะกลับมาโดดเด่นในวอลล์สตรีตได้อีก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
วิกฤติซับไพรม์ปี 2008 ถือเป็นจุดจบของการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ
สถาบันการเงินทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ที่เคยทำกำไรจากการออกขายหรือลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน (Mortgage-Backed Security : MBS) ต่างประสบกับผลขาดทุนมหาศาล
วาณิชธนกิจขนาดใหญ่อย่าง Lehman Brothers ที่มีอายุกิจการมากกว่า 150 ปี ก็ล้มละลายลง เพราะขาดทุนจากการลงทุนใน MBS
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ยังมีธุรกิจที่ขาดทุนจาก MBS มากกว่า Lehman Brothers นั่นก็คือ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เนื่องด้วยเป็นธุรกิจที่จัดตั้งเพื่อขาย MBS โดยเฉพาะ
จุดเริ่มต้นของทั้ง 2 ธุรกิจ คือการก่อตั้งโดยสภาคองเกรส ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตลาดสินเชื่อบ้าน รวมถึงเพิ่มโอกาสในการมีบ้านของชาวอเมริกัน
แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ดำเนินธุรกิจด้วยการรับซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัย จากสถาบันการเงินที่เป็นผู้ปล่อยกู้สินเชื่อโดยตรงกับผู้ซื้อบ้าน
โดย แฟนนี เม มักรับซื้อจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น Bank of America, JPMorgan Chase
ส่วน เฟรดดี แมค รับซื้อจากธนาคารออมทรัพย์ขนาดเล็ก หรือสถาบันการเงินท้องถิ่น
ซึ่งสินเชื่อที่รับซื้อ ต้องเป็นตามลักษณะที่กำหนดไว้ เช่น ขนาดวงเงินกู้ของสินเชื่อ, อัตราส่วนเงินกู้ต่อมูลค่า (LTV) รวมถึงคะแนนเครดิตของผู้กู้สินเชื่อบ้าน เป็นต้น
หลังจากนั้น จะมีการขายตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกัน หรือ MBS พร้อมรับประกันการจ่ายคืนดอกเบี้ยและเงินต้น ซึ่งผู้ซื้อส่วนใหญ่ มักเป็นนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ และบริษัทประกัน
ด้วยหลักเกณฑ์ในการรับซื้อสินเชื่อบ้าน ทำให้สินเชื่อที่รับซื้อ ส่วนใหญ่ควรอยู่ในเกณฑ์คุณภาพดี
แต่ช่วงเกิดวิกฤติซับไพรม์ ก็พบความจริงที่ว่า มีสินเชื่อบ้านด้อยคุณภาพมูลค่ามหาศาล ที่ปะปนอยู่ในพอร์ตการลงทุนของทั้งแฟนนี เม และเฟรดดี แมค นำไปสู่การแบกรับผลขาดทุนอย่างหนัก
แต่ด้วยการเป็นกิจการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล (Government-Sponsored Enterprise : GSE)
อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสินเชื่อบ้านราว 2 ใน 3 ในสหรัฐฯ รวมถึงเกี่ยวข้องกับกองทุนที่เชื่อมโยงกับนักลงทุนรายย่อย และชาวอเมริกันจำนวนมาก
ทั้ง 2 กิจการ จึงเข้าข่ายเป็นกิจการที่ปล่อยให้ล้มไม่ได้
ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้าอุ้มแฟนนี เม และเฟรดดี แมค โดยได้อัดฉีดเงินเพิ่มสภาพคล่อง มูลค่ารวมประมาณ 6 ล้านล้านบาท เพื่อป้องกันการล้มละลาย และรักษาเสถียรภาพของตลาดที่อยู่อาศัย
เงินที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้อัดฉีดทั้ง 2 ธุรกิจ มีมูลค่ามากกว่าเงินที่รัฐบาลไทย และรัฐบาลเกาหลีใต้ ใช้อัดฉีดธุรกิจภาคการเงิน ในช่วงวิกฤติระหว่างปี 1997-1998 ราว 4.5 เท่า และ 1.5 เท่า ตามลำดับ
แม้ต้องใช้จำนวนเงินมหาศาล เพื่ออุ้มทั้ง 2 ธุรกิจ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือไปแบบฟรี ๆ
สิ่งที่ทั้ง 2 ธุรกิจต้องแลกคือ การอยู่ภายใต้การควบคุม (Conservatorship) ของภาครัฐ ซึ่งเป็นสถานะที่นำไปสู่การถอดออกจากตลาดหุ้น (Delisted)
และที่สำคัญมากคือ การทำข้อตกลงที่จะส่งมอบกำไรสุทธิทั้งหมด ให้กับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพื่อชดเชยเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลได้อัดฉีดไป
ซึ่งผู้ถือหุ้นของทั้งแฟนนี เม และเฟรดดี แมค แม้ถือมาตั้งแต่ก่อนที่รัฐบาลเข้าควบคุม แต่ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดจากธุรกิจเลย
แม้มีข้อแลกเปลี่ยนมากมาย แต่การช่วยเหลือของรัฐบาล ก็ทำให้ทั้ง 2 ธุรกิจ รอดตายจากวิกฤติ
ทั้งนี้ วิกฤติปี 2008 ทำให้ความน่าเชื่อถือของ MBS นั้นลดลง แต่ด้วยการอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ทำให้ MBS ของทั้ง 2 ธุรกิจ ถูกรับประกันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไปโดยปริยาย
แฟนนี เม และเฟรดดี แมค กลายเป็นผู้คุมหลักทรัพย์ MBS หลักในสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีการผันตัวไปเป็นผู้รับประกัน MBS ที่ออกโดยสถาบันการเงินอื่น ซึ่งสร้างผลตอบแทน จากค่าธรรมเนียมการรับประกัน (Guaranty Fees) แทนการออก MBS เองทั้งหมด
เมื่อตลาดบ้านของสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้น และสินเชื่อบ้านเริ่มกลับมาคึกคัก ในปี 2012 แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ก็สามารถกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง
ปี 2013 ธุรกิจมีกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยมีกำไรรวมเข้าใกล้ เงินทุนที่รัฐบาลได้อัดฉีดให้แล้ว
จนกระทั่งในปัจจุบัน แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ได้ส่งกำไรคืนรัฐบาล รวมแล้วมูลค่าราว 10 ล้านล้านบาท
กำไรที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มูลค่าสุทธิ (Net Worth) ของทั้ง 2 ธุรกิจ มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
มูลค่าสุทธิของ แฟนนี เม
ปี 2023 : 2.59 ล้านล้านบาท
ปี 2024 : 3.16 ล้านล้านบาท
ปี 2025 (Q1) : 3.28 ล้านล้านบาท
ปี 2025 (Q2) : 3.39 ล้านล้านบาท
มูลค่าสุทธิของ เฟรดดี แมค
ปี 2023 : 1.59 ล้านล้านบาท
ปี 2024 : 1.99 ล้านล้านบาท
ปี 2025 (Q1) : 2.08 ล้านล้านบาท
ปี 2025 (Q2) : 2.16 ล้านล้านบาท
ซึ่งภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่รุนแรงของสหรัฐฯ ระหว่างปี 2022-2023 มีส่วนทำให้กำไรของทั้ง 2 ธุรกิจเติบโตขึ้น
และปัจจุบันทั้ง 2 ธุรกิจ เป็นเจ้าของสินเชื่อบ้านราว 70% ในสหรัฐฯ
ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีการวางแผนออกขาย IPO ของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค เพื่อให้กลับเข้าสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
โดยเจ้าหน้าที่ทางการของสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า จะได้รับเงินจากการออก IPO ที่ราว 9.5 แสนล้านบาท พร้อมคาดว่า มูลค่าตลาด (Market Cap) รวมกัน จะทะยานขึ้นไปแตะระดับ 15.86 ล้านล้านบาท หรืออาจมากกว่า
ซึ่งหากรัฐบาลสหรัฐฯ ออก IPO โดยรวบให้แฟนนี เม และเฟรดดี แมค เป็นเพียงบริษัทเดียว บริษัทนี้ อาจมีมูลค่าตลาดมากสุดเป็นอันดับที่ 17 ของสหรัฐฯ แซงหน้าบริษัทอย่าง ExxonMobil และ Johnson & Johnson
อย่างไรก็ดี แผนการนำเอาทั้ง 2 ธุรกิจ กลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐบาลปัจจุบัน แต่รัฐบาลทรัมป์ 1.0 ก็ได้มีการพูดถึงแผนการนี้ไว้แล้ว
จนสิ้นสุดรัฐบาลในปี 2020 ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีข่าวว่า คนสนิทของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมสานต่อแผนการดังกล่าว
ทั้งนี้ แผนการ IPO ของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก จากสถาบันการเงินรายใหญ่ รวมถึงผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 ธุรกิจ ที่มีชื่อเสียงอย่าง Bill Ackman
แต่ก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมากเช่นกัน เนื่องด้วยการนำเอาทั้ง 2 ธุรกิจกลับเข้าสู่ตลาด อาจเป็นการสิ้นสุดสถานะผู้พิทักษ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อทั้ง 2 ธุรกิจ
หมายถึง รัฐบาลสหรัฐฯ อาจไม่ได้รับประกัน MBS ของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค อีกต่อไป ทำให้ MBS มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นโดยเปรียบเทียบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้อัตราดอกเบี้ยกู้บ้านของชาวอเมริกัน ขยับตัวขึ้น
อีกทั้งยังเกิดความกังวลที่ว่า ข้อตกลงการตรึงอัตราดอกเบี้ย (Rate-Lock Agreements) เพื่อให้ผู้กู้สามารถล็อกต้นทุนการผ่อนบ้าน ในช่วงดำเนินเอกสารซื้อบ้านนั้น อาจทำได้ยากขึ้น หรือมีระยะเวลาการล็อกที่สั้นลง
แม้ว่าทรัมป์ยังคงต้องการที่จะให้รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้พิทักษ์ของทั้ง 2 ธุรกิจนี้ต่อไป แม้จะมีการ IPO ก็ตาม
แต่ยังคงมีข้อถกเถียงต่อความเป็นไปได้ดังกล่าว ทำให้สมาชิกวุฒิสภาหลายราย แสดงความไม่เห็นด้วย ซึ่งอาจมีผลต่อกระบวนการอนุมัติแผน IPO ของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ในสภาคองเกรส
คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่า แฟนนี เม และเฟรดดี แมค จะสามารถกลับมาโดดเด่นในวอลล์สตรีต และโลดแล่นในตลาดหุ้น ได้อีกครั้งหรือไม่..
References
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ฐานเศรษฐกิจ
- CNBC
- Federal Housing Finance Agency
- Investopedia
- Reuters
- StockInvest.us
- The New York Times
- The Wall Street Journal
- TradingView

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon