
สรุปบัญชี 4 ประเภท ที่ฟรีแลนซ์ควรมี เพื่อจัดการเงินได้ดี
สรุปบัญชี 4 ประเภท ที่ฟรีแลนซ์ควรมี เพื่อจัดการเงินได้ดี /โดย ลงทุนแมน
มากกว่า 50% ของคนไทยที่มีงานทำคือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์
มากกว่า 50% ของคนไทยที่มีงานทำคือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์
แต่การเป็นฟรีแลนซ์ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย และหนึ่งในสิ่งที่หลายคนมักผิดพลาดกันคือ การบริหารจัดการเรื่องเงิน เพราะมักเลือกใช้วิธีการเดียวกันกับพนักงานประจำ
โดยสิ่งที่ทำให้การบริหารจัดการเงินของฟรีแลนซ์มีความยุ่งยากกว่านั้น มาจากรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ บางเดือนมากหรือน้อยก็ได้ และต้องจัดการการเงินในแง่ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็น ภาษี, ประกัน รวมถึงการลงทุน ต่างจากพนักงานประจำ ที่บริษัทมักจัดการให้อยู่แล้ว
วิธีที่ดีในการบริหารจัดการเงินของฟรีแลนซ์ เริ่มต้นด้วยการทำบัญชี 4 ประเภทนี้
1. บัญชีรายรับ ไว้สำหรับรับรายได้เพียงอย่างเดียว
ข้อดีของการทำแบบนี้คือ ง่ายต่อการทำบัญชี สะดวกต่อการยื่นภาษี และจะได้จัดสรรเงินอย่างมีวินัยมากขึ้น
นึกภาพง่าย ๆ ว่า ถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์แล้วมีอยู่แค่ 1 บัญชี ใช้ทั้งรับเงิน จับจ่ายใช้สอย ออมเงิน มันก็คงใช้มั่ว ๆ กันหมด ไม่รู้เงินส่วนไหนนำไปลงทุนได้บ้าง หรือใช้จ่ายเกินตัวไปหรือยัง
แต่ถ้าเรามีการแบ่งบัญชีรับเงินตั้งแต่ต้น จะทำให้จัดการได้ถูกว่า ควรแบ่งเงินสัดส่วนเท่าไร ไปเป็นค่าใช้จ่าย หรือลงทุนก็ตาม
2. บัญชีใช้จ่าย
แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ ค่าใช้จ่ายจำเป็น กับ ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่าที่พัก, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร, ค่าไฟฟ้า, ค่าบัตรเครดิต หรือค่าประกัน ให้เตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ก่อน หักได้หักเลย เพื่อที่เหลือเราจะได้นำไปใช้กับค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างสบายใจ
3. บัญชีสำรองภาษี โดยหักเงินจากบัญชีรายรับทันที 10-20% เพื่อให้เพียงพอกับภาษี
เหตุผลที่ต้องมีบัญชีนี้ เพราะภาษีคือกับดักใหญ่สุดของฟรีแลนซ์ หลายคนทำงานทั้งปีอย่างสบายใจ แต่พอสิ้นปีเจอภาษีก้อนโต เงินเก็บหายวับในทันที ต่างจากพนักงานประจำที่มักจะโดนหักบางส่วนไปแล้ว
ที่สำคัญบัญชีนี้ต้องห้ามนำมาใช้ จะได้ไม่เสี่ยงต่อการไม่มีเงินจ่ายภาษี จนไปเบียดเงินกินใช้หรือเงินลงทุน รวมถึงเสี่ยงต่อการโดนค่าปรับและเบี้ยเพิ่ม หากจ่ายล่าช้า
4. บัญชีเงินออมและลงทุน เพื่อไว้สร้างความมั่งคั่งและมั่นคงให้กับชีวิตในอนาคต ซึ่งสามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 2 ส่วนคือ
- บัญชีเงินสำรองฉุกเฉิน ควรจะมีเงินระหว่าง 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน 
เพราะฟรีแลนซ์มีความเสี่ยงเรื่องรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะเสียโอกาสในการต่อยอดเงินให้เติบโต
เพราะฟรีแลนซ์มีความเสี่ยงเรื่องรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะเสียโอกาสในการต่อยอดเงินให้เติบโต
โดยเงินส่วนนี้ควรเก็บไว้ในที่ที่มีสภาพคล่องสูง แต่ยังให้ผลตอบแทน เช่น ฝากในธนาคารหรือกองทุนตลาดเงิน
ถ้าให้ดีควรมีเงินสำรองฉุกเฉินก่อนลงทุน เพื่อจะได้ไม่ถูกบังคับขายสินทรัพย์ในราคาที่ถูก หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ตกงาน หรือเกิดอุบัติเหตุจนทำงานไม่ได้
- บัญชีลงทุน สามารถเลือกสินทรัพย์ที่สนใจได้เลย แต่ต้องไม่ลืมว่า มีกองทุนลดหย่อนภาษีตัวไหน ที่ลงทุนในสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยหรือไม่ เพราะนอกจากจะได้ผลตอบแทนที่ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว เราจะยังได้ประหยัดภาษีอีก
เช่น ทองคำและหุ้นในดัชนี S&P 500 ก็มีกองทุน RMF ที่ลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 500,000 บาท
ทั้งนี้ต้องเป็นคนที่ลงทุนระยะยาว เพราะกองทุนลดหย่อนภาษีมีเงื่อนไขให้เราถือยาว