ช่องแคบมะละกา เส้นเลือดใหญ่ ชี้ชะตาการค้าโลก

ช่องแคบมะละกา เส้นเลือดใหญ่ ชี้ชะตาการค้าโลก

ช่องแคบมะละกา เส้นเลือดใหญ่ ชี้ชะตาการค้าโลก /โดย ลงทุนแมน
“114 ล้านล้านบาท” นี่ไม่ใช่มูลค่า Market Cap หรือ GDP ของบริษัทหรือประเทศใด ๆ แต่เป็นมูลค่าการค้าทางเรือ ที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกาในแต่ละปี
โดยช่องแคบมะละกา ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญสุดในโลก ที่ถ้าหากช่องแคบแห่งนี้ถูกปิด อาจทำให้เศรษฐกิจโลก พังพินาศได้เลยทีเดียว
ทำไมช่องแคบมะละกา ถึงเป็นตัวแปรสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากเปรียบโลกเป็นร่างกายมนุษย์ เส้นทางการเดินเรือต่าง ๆ ก็เป็นเส้นเลือดน้อยใหญ่ ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย คอยส่งเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ
และช่องแคบมะละกา ก็คือหนึ่งในเส้นเลือดใหญ่ที่สำคัญ..
ช่องแคบมะละกา เป็นน่านน้ำที่กั้นระหว่างเกาะสุมาตรา ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย กับคาบสมุทรมลายู ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยและมาเลเซีย
โดยเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางทางทะเลที่สั้นที่สุด ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก
ซึ่งเรือขนส่งสินค้าที่มาจากจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ไปยังทวีปยุโรป
รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมันจากตะวันออกกลาง ที่ต้องการไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออก จะต้องแล่นผ่านช่องแคบมะละกาแทบทุกลำ..
ช่องแคบมะละกา เริ่มมีบทบาทสำคัญทั้งในด้านการค้าและความมั่นคง มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 หรือกว่า 1,500 ปีมาแล้ว
ในสมัยนั้น บรรดาพ่อค้าชาวอาหรับ ชาวเปอร์เซีย และชาวอินเดีย มักจะนำของมีค่า เช่น เครื่องแก้ว การบูร ผ้าฝ้าย ผ้าทอเนื้อละเอียด งาช้าง ไม้จันทน์ น้ำหอม และอัญมณี จากประเทศตัวเอง
มาจอดที่ท่าเรือในเมืองเกดะห์ ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู
และลำเลียงไปยังเมืองที่อยู่ฝั่งตะวันออก อย่างเมืองลังกาสุกะ และเมืองกลันตัน เพื่อลงเรือขนส่งไปค้าขายยังประเทศจีน
ก่อนที่ช่องแคบมะละกา จะกลายมาเป็นเส้นเลือดหลักการเดินเรือของโลกอย่างเต็มตัว ในช่วงศตวรรษที่ 7
หลังการเรืองอำนาจของอาณาจักรศรีวิชัย ที่เข้าพิชิตดินแดนต่าง ๆ ทั้งสองฝั่งของช่องแคบ
ทำให้สามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้เบ็ดเสร็จ และผลักดันให้น่านน้ำแห่งนี้ กลายเป็นเส้นทางการเดินเรือหลัก ที่เชื่อมต่อซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน
ใครควบคุมช่องแคบมะละกาได้
คนคนนั้นจะคุมหัวใจการค้าของเอเชีย และของโลก
ทำให้ที่ผ่านมา ช่องแคบมะละกา กลายเป็นทำเลที่หลาย ๆ ชาติ พยายามเข้าไปสร้างอิทธิพลมากมาย ทั้งโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และญี่ปุ่น
ในขณะเดียวกัน น่านน้ำแห่งนี้ก็ช่วยพลิกชะตาให้ชาติที่แทบไม่มีทรัพยากรเลย กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยขึ้นมาได้
ประเทศนั้นก็คือ.. สิงคโปร์ หนึ่งในศูนย์กลางการค้าและการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก
ชาติอื่นมองเป็นเพียงจุดแวะพัก แต่สิงคโปร์มองเหนือไปอีกขั้น ด้วยการเป็น “ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ”
โดยสิงคโปร์ไม่จบอยู่เพียงการสร้างท่าเรือ เพื่อให้เรือสินค้ามาแวะจอดเท่านั้น แต่ยังมีการต่อยอดความได้เปรียบเรื่องทำเลนี้ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ ได้อย่างมหาศาล
ทั้งการเปิดเสรีการค้า กฎหมายที่โปร่งใส การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
ทำให้ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราก็คงเห็นแล้วว่า สิงคโปร์เติบโตก้าวกระโดดขนาดไหน
ซึ่งสิงคโปร์อาจมาถึงจุดนี้ได้ยาก หากไม่ได้ตั้งอยู่บนทำเลทอง อย่างช่องแคบมะละกา
ในปัจจุบันช่องแคบมะละกา กลายเป็นเส้นทางการเดินเรือที่หนาแน่นเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา มีเรือแล่นผ่านช่องแคบมะละกา กว่า 94,000 ลำ
ที่น่าสนใจคือ ช่องแคบมะละกา ไม่ได้โดดเด่นเพียงในด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศอีกด้วย
โดยเฉพาะจีน ที่เคยมีการพูดถึง Malacca Dilemma ที่แสดงถึงจุดอ่อนของจีน เพราะกว่า 80% ของน้ำมันดิบที่จีนนำเข้า จะต้องขนส่งผ่านช่องแคบแห่งนี้
ทำให้ช่องแคบมะละกา กลายเป็นท่อออกซิเจนทางพลังงานของจีน ไปโดยปริยาย
นอกจากนี้ ช่องแคบมะละกา ยังเป็นหนึ่งในเส้นทางการเดินเรือที่อยู่ใน Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน
ทำให้ที่ผ่านมา จีนพยายามสร้างอิทธิพลเหนือพื้นที่นี้ ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในดินแดนต่าง ๆ ไปจนถึงการซ้อมรบทางทะเล
และแน่นอนว่า เมื่อจีนรุก สหรัฐอเมริกาก็ย่อมไม่อยู่เฉย..
ช่องแคบมะละกา จึงกลายมาเป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่สองชาติมหาอำนาจ ต่างก็พยายามขยายอิทธิพลในพื้นที่ อย่างไม่หยุดยั้ง
ซึ่งถ้าหากวันใดวันหนึ่ง ที่การสร้างอิทธิพล ถูกขยายจนกลายเป็นความขัดแย้งหรือสงคราม
ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คงจะทำให้การค้าของโลกใบนี้ ทรุดตัวได้เลยทีเดียว..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon