
ลิกเตนสไตน์ บริษัทในคราบประเทศ เล็กกว่าภูเก็ต แต่รวยระดับโลก
ลิกเตนสไตน์ บริษัทในคราบประเทศ เล็กกว่าภูเก็ต แต่รวยระดับโลก /โดย ลงทุนแมน
“บริษัทในคราบประเทศ” คือโมเดลการพัฒนาของลิกเตนสไตน์
ประเทศที่เราแทบมองไม่เห็นบนแผนที่โลก
“บริษัทในคราบประเทศ” คือโมเดลการพัฒนาของลิกเตนสไตน์
ประเทศที่เราแทบมองไม่เห็นบนแผนที่โลก
เพราะด้วยขนาดที่เล็กแค่ 158 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าจังหวัดภูเก็ตของไทย กว่าเท่าตัว แถมยังขนาบข้างด้วยสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ที่ใหญ่กว่าประเทศตัวเองหลายเท่าตัว
แม้พื้นที่นิดเดียว แต่ก็สามารถพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่รวยสุดในโลก เพราะใน 1 ปี รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในประเทศมากถึง 6.8 ล้านบาท
โมเดลบริษัทในคราบประเทศ ช่วยให้ลิกเตนสไตน์รวยได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลองหลับตาลง แล้วจินตนาการว่า ถ้าเราอยู่ในประเทศที่
- ถูกล้อมรอบด้วยอีกหลายประเทศ
- ไม่ติดทะเล
- ยากจน
- ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า
- ปลูกพืชได้บ้างนิดหน่อย ด้วยพื้นที่แค่ 15 ตารางกิโลเมตร
- ถูกล้อมรอบด้วยอีกหลายประเทศ
- ไม่ติดทะเล
- ยากจน
- ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมีค่า
- ปลูกพืชได้บ้างนิดหน่อย ด้วยพื้นที่แค่ 15 ตารางกิโลเมตร
นี่คือสภาพของลิกเตนสไตน์เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ซึ่งถ้ามองแค่นี้ ก็คงไม่เห็นว่าประเทศนี้จะพัฒนาไปทางไหนดี
แต่ปัจจุบัน ลิกเตนสไตน์กลายเป็นประเทศที่รวยได้ ด้วยการใช้โมเดลที่เรียกว่า “บริษัทในคราบประเทศ”
เหตุผลที่เรียกแบบนี้ ก็เพราะว่าลิกเตนสไตน์มีประชากรแค่ 40,000 คนเท่านั้น น้อยกว่าบริษัทระดับโลกอย่าง Microsoft, Apple หรือ Alphabet เจ้าของ Google เสียอีก
ซึ่งบริษัทระดับโลกที่มีพนักงานใกล้เคียงประมาณนี้
ก็คงเป็น Nvidia ที่มีพนักงานราว 36,000 คน
ก็คงเป็น Nvidia ที่มีพนักงานราว 36,000 คน
หรือถ้าเทียบกับบริษัทชั้นนำของไทยอย่าง ปูนใหญ่ SCG ที่มีพนักงานเกิน 50,000 คน
ดังนั้น ถ้าจะเรียกลิกเตนสไตน์ว่าเป็นบริษัทในคราบประเทศก็คงไม่ผิดนัก เพราะมีจำนวนประชากรในประเทศที่น้อยมาก
ลิกเตนสไตน์ยังเป็นประเทศที่ทำตัวเหมือนบริษัทมากขึ้นไปอีก เพราะรู้ไหมว่า กว่า 57% ของแรงงานในประเทศ ไม่ใช่คนลิกเตนสไตน์
แต่แรงงานเกินครึ่งนี้ถูกเรียกว่า “Commuters” หรือแรงงานข้ามแดนที่เดินทางมาจากสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ซึ่งเป็นแรงงานที่มีทักษะสูงจำนวนมาก
และด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อกันดีอยู่แล้ว ทำให้แรงงานเหล่านี้ สามารถเดินทางไปกลับได้อย่างสะดวก
พอเป็นแบบนี้ ลิกเตนสไตน์จึงได้แรงงานทักษะสูงจากประเทศข้างเคียง มาพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศของตัวเองไปอย่างต่อเนื่อง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ได้มาแบบฟรี ๆ เพราะถ้าไม่มีบริษัทหรือฐานการผลิตที่ดึงดูดมากพอ ก็คงไม่มีแรงงานทักษะสูงที่ไหนอยากมาทำงานในประเทศนั้น
รัฐบาลลิกเตนสไตน์ก็รู้เรื่องนี้ดี จึงออกนโยบายสิทธิพิเศษให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้มาตั้งบริษัทในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ตามมาคือลิกเตนสไตน์เป็นประเทศเล็ก
ไม่มีทรัพยากรอะไรที่ได้เปรียบประเทศอื่น
ไม่มีทรัพยากรอะไรที่ได้เปรียบประเทศอื่น
หรือไม่ได้มีแรงงานจำนวนมาก และตลาดผู้บริโภคภายในประเทศขนาดใหญ่รองรับ เหมือนประเทศอื่น เช่น จีน ซึ่งสามารถผลิตสินค้าครั้งละมาก ๆ ออกมาได้ จนผลิตได้ในต้นทุนต่ำ (Economies of Scale)
ลิกเตนสไตน์ ที่แทบจะตรงข้ามกับจีนทุกอย่าง ทำให้โมเดลการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจำนวนมากแทบเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อผลิตจำนวนมากไม่ได้ ก็ต้องไปผลิตสินค้าที่ราคาแพง
แต่น้อยชิ้นไปเลย ทำให้ลิกเตนสไตน์หันไปจับตลาดสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นคุณภาพสูงแทน
แต่น้อยชิ้นไปเลย ทำให้ลิกเตนสไตน์หันไปจับตลาดสินค้าอุตสาหกรรมที่เน้นคุณภาพสูงแทน
ตัวอย่างเช่น สินค้าเฉพาะทางอย่างอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน
ซึ่งปัจจุบัน ลิกเตนสไตน์กลายเป็นประเทศที่ครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องมือทันตแพทย์กว่า 20% ของทั้งโลกเลยทีเดียว
นอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้ว ลิกเตนสไตน์ยังวางตัวเองเป็นหนึ่งในธุรกิจให้บริการทางการเงินระดับโลก จึงยิ่งดึงดูดให้แรงงานที่เชี่ยวชาญด้านนี้เข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง
สรุปแล้ว คนที่สร้างให้ลิกเตนสไตน์รวยไม่ใช่คนในประเทศ
แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นแรงงานข้ามแดนแทน ทำให้ลิกเตนสไตน์เป็นเหมือนกับบริษัทที่จ้างพนักงานมาทำงานให้ตัวเอง
แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นแรงงานข้ามแดนแทน ทำให้ลิกเตนสไตน์เป็นเหมือนกับบริษัทที่จ้างพนักงานมาทำงานให้ตัวเอง
คำถามคือ ถ้าต้องพึ่งพาแรงงานข้ามแดนมากขนาดนี้ รายได้
ก็ไหลออกไปนอกประเทศอยู่ดี แล้วลิกเตนสไตน์ได้อะไร ?
ก็ไหลออกไปนอกประเทศอยู่ดี แล้วลิกเตนสไตน์ได้อะไร ?
จริงอยู่ที่แรงงานข้ามแดนจะหอบเงินกลับประเทศตัวเองไปด้วย
แต่ลิกเตนสไตน์ ก็สามารถเก็บภาษีจากคนพวกนี้ได้อยู่ดี
แต่ลิกเตนสไตน์ ก็สามารถเก็บภาษีจากคนพวกนี้ได้อยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็นรายได้ทางตรงอย่างภาษีบุคคลทั่วไป หรือภาษีนิติบุคคลที่เก็บจากบริษัทในประเทศ รวมกันแล้วกว่า 31,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นี่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 11,000 ล้านบาท ที่เก็บจากสินค้าทั่วไป ซึ่งแรงงานข้ามแดนพวกนี้ ก็ต้องจับจ่ายใช้สอยในประเทศตัวเองระหว่างวันทำงานอยู่แล้ว
และที่น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ลิกเตนสไตน์เป็นประเทศที่ใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้มานาน จนมีหนี้สาธารณะราว 1,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP เท่านั้น
เหตุผลหลักมาจากการที่ลิกเตนสไตน์ไม่มีทหาร จึงตัดเงินตรงนี้ออกไปได้เยอะมาก แถมยังตัดสินใจใช้สกุลเงินฟรังก์สวิสมาตั้งแต่ปี 1924 ทำให้ลดต้นทุนเรื่องนโยบายการเงินลงไปด้วย
เมื่อไม่ต้องใช้เงินมหาศาลไปกับทหารหรือนโยบายการเงิน
ลิกเตนสไตน์เลยสามารถเน้นใช้จ่ายเรื่องคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ เช่น เงินบำนาญ หรือโครงสร้างพื้นฐานแค่อย่างเดียว
ลิกเตนสไตน์เลยสามารถเน้นใช้จ่ายเรื่องคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ เช่น เงินบำนาญ หรือโครงสร้างพื้นฐานแค่อย่างเดียว
ทั้งหมดนี้เอง เลยทำให้ลิกเตนสไตน์ยิ่งตอกย้ำว่า นี่ไม่ใช่แค่ประเทศ แต่คือบริษัทในคราบประเทศ ที่ดึงดูดให้คนนอกประเทศ เข้ามาทำงานเพื่อประเทศของตัวเอง
ซึ่งกลายเป็นโมเดลความสำเร็จ ที่ทำให้ประเทศที่เล็กกว่าภูเก็ตของไทย สามารถรวยระดับโลกได้
แต่เรื่องนี้ก็อาจเป็นขั้วตรงข้ามเหมือนกันว่า ถ้าลิกเตนสไตน์
ไม่ได้อยู่ในยุโรปหรือติดกับสวิตเซอร์แลนด์ โมเดลนี้ก็อาจไม่ได้ผลดีขนาดนี้เช่นกัน..
ไม่ได้อยู่ในยุโรปหรือติดกับสวิตเซอร์แลนด์ โมเดลนี้ก็อาจไม่ได้ผลดีขนาดนี้เช่นกัน..
References
-Cross-Border Income Flows in Liechtenstein by IMF
-Liechtenstein: The Fiscal Sector Framework by IMF
-https://www.elibrary.imf.org/view/journals/002/2025/077/article-A005-en.xml
-https://www.imf.org/en/Publications/CR/Issues/2025/03/27/Principality-of-Liechtenstein-2025-Article-IV-Consultation-Press-Release-Staff-Report-and-565608
-Cross-Border Income Flows in Liechtenstein by IMF
-Liechtenstein: The Fiscal Sector Framework by IMF
-https://www.elibrary.imf.org/view/journals/002/2025/077/article-A005-en.xml
-https://www.imf.org/en/Publications/CR/Issues/2025/03/27/Principality-of-Liechtenstein-2025-Article-IV-Consultation-Press-Release-Staff-Report-and-565608