
“ทะเลแดง” ตำแหน่งยุทธศาสตร์ ทางผ่านสายเคเบิลโลก
“ทะเลแดง” ตำแหน่งยุทธศาสตร์ ทางผ่านสายเคเบิลโลก /โดย ลงทุนแมน
ทะเลแดง (Red Sea) เส้นทางเดินเรือสินค้าที่สำคัญ ตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งยาวนานกว่า 3,000 ปี
แล้วรู้หรือไม่ว่า นอกจากการเป็นเส้นทางการค้าที่มีเรือขนสินค้าผ่านไปมาตั้งแต่อดีตแล้ว
ทะเลแดงยังเป็นเส้นทางสำคัญที่ขนส่งข้อมูลระหว่างพื้นที่ยุโรป-ตะวันออกกลาง-แอฟริกา-เอเชีย
ข้อมูลที่ว่านี้ ไม่ได้เดินทางด้วยเรือ แต่เป็นระบบสายเคเบิล ส่งผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่วางอยู่ใต้น้ำ
แต่ปัญหาคือ ประเทศที่ตั้งอยู่โดยรอบทะเลแดง มักมีความขัดแย้งและสู้รบกันอยู่บ่อยครั้ง และในระยะหลัง สายเคเบิลใต้น้ำ ก็เสี่ยงเป็นเป้าหมายถูกโจมตี
แล้วเพราะอะไร ทะเลแดง ถึงถูกเลือกให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายเคเบิลโลก
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ในอดีต ทะเลแดง เป็นพื้นที่เดินเรือขนส่งสินค้าหลักระหว่างอาณาจักรอียิปต์โบราณ และอาณาจักรพุนต์ ดินแดนแถบตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา
ต่อมา เมื่อยุโรปและเอเชียติดต่อค้าขายกันมากขึ้น ขนส่งสินค้าระหว่างกัน และภายหลังการสร้างคลองสุเอซ ในปี 1869 เส้นทางการค้าผ่านทะเลแดง จึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น
เนื่องด้วยตำแหน่งของทะเลแดงนั้น เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ซึ่งหากต้องเดินเรือสินค้าจากประเทศไทย ไปเทียบท่าในประเทศแถบยุโรป ต้องแล่นออกจากช่องแคบมะละกา เพื่อไปทะเลแดง ผ่านคลองสุเอซ ก่อนออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมท่าเรือยุโรป เช่น มาร์แซย์และรอตเทอร์ดัม
โดยในปัจจุบัน การค้าระหว่างประเทศในเอเชียและยุโรป ประมาณ 40% ต้องทำการขนส่งผ่านทะเลแดง
นอกจากนี้ สายเคเบิลใต้น้ำถือเป็นกระดูกสันหลังของอินเทอร์เน็ตทั่วโลก เพราะกว่า 95% ของการส่งผ่านข้อมูลและอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศนั้น ต้องอาศัยการส่งผ่านสัญญาณด้วยสายเคเบิลใต้น้ำ และมักวางตามแนวเส้นทางเดินเรือหลัก เช่น เส้นทางผ่านทะเลแดง
ซึ่งเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำ ต้องถูกวางซ้อนไปกับแนวทางการเดินเรือสินค้า ทำให้ทะเลแดง ถือได้ว่าเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายเคเบิลของโลก
โดยลึกลงไปในทะเลแดง มีการวางแนวสายเคเบิลใต้น้ำที่สำคัญถึง 17 สาย ทำหน้าที่ส่งผ่านอินเทอร์เน็ตระหว่างเอเชียและยุโรปถึงประมาณ 70% ของการส่งผ่านทั้งหมด
เมื่อข้อมูลที่ไหลผ่านใต้ทะเลแดง สำคัญกับทั้งเศรษฐกิจ และความมั่นคงของรัฐในหลายประเทศ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นจุดเสี่ยงถูกโจมตีด้วยเช่นกัน
โดยประเทศโดยรอบทะเลแดง มักเกิดความขัดแย้งอยู่เรื่อยมา และใช้ทะเลแดงเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ ในการเคลื่อนทัพเข้าไปโจมตีโดยตรง
หรืออาจวางกลยุทธ์ โดยใช้พื้นที่ทะเลแดงเป็นจุดซุ่มโจมตีเรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือการปิดเส้นทางเข้าออกทะเลแดง
ขณะที่ปัจจุบัน การพยายามเข้าถึงข้อมูล หรือการทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ กลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการโจมตี
โดยความขัดแย้งล่าสุด จากการสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส มีรายงานสายเคเบิลใต้ทะเลแดงถูกตัดขาดราว 2 ครั้ง และมีสายเคเบิลอย่างน้อย 7-8 สาย ที่ได้รับความเสียหาย
ผลที่ตามมา คือ การส่งผ่านข้อมูลและสัญญาณอินเทอร์เน็ตในหลายประเทศ เช่น อินเดีย ปากีสถาน และซาอุดีอาระเบีย เกิดความล่าช้าและสะดุดเป็นวงกว้าง
ซึ่ง Microsoft ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มคลาวด์ที่ชื่อว่า Azure ก็เคยประกาศแจ้งผู้ใช้งานในช่วงต้นเดือนกันยายนปีนี้ว่า อาจพบความล่าช้าในการรับส่งข้อมูล เนื่องจากสายเคเบิลใต้ทะเลแดงบางส่วนถูกตัดขาด
ซึ่งกลุ่มผู้ต้องสงสัยในการตัดสายเคเบิลใต้ทะเลแดง คือ กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน ที่เป็นอีกหนึ่งคู่ขัดแย้งของอิสราเอล
สายเคเบิลใต้ทะเลแดง จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี หากความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางทวีความรุนแรงขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น กลับยังพบโครงการลงทุนวางสายเคเบิลใต้ทะเลแดง มูลค่ารวมสูงกว่า 1 แสนล้านบาท ที่ทั้งกำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผน และการก่อสร้าง ติดตั้ง ในระหว่างปี 2025-2027
ซึ่งเหตุผล เป็นเพราะหากไม่วางสายเคเบิลผ่านเส้นทางทะเลแดง ก็ต้องทำการวางแนวสายเคเบิลอ้อมแหลมกู๊ดโฮป หรืออ้อมทวีปแอฟริกา เพื่อเชื่อมต่อกับปลายทางที่ประเทศในยุโรป
ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีระยะยาวมากขึ้นอีก 10,000 กิโลเมตร ทำให้การวางแนวสายเคเบิลในเส้นทางนี้ ต้องใช้ต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและการบำรุงรักษา
ยกตัวอย่าง สายเคเบิล SEA-ME-WE 4 (Southeast Asia-Middle East-Western Europe 4) ที่ส่งผ่านข้อมูลจากสิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย ไปยังปลายทางที่ฝรั่งเศส
หากเปลี่ยนจากการวางตามแนวผ่านทะเลแดง ไปเป็นการวางแนวอ้อมแหลมกู๊ดโฮป พบว่า ต้นทุนการติดตั้งอาจสูงขึ้นราว 1.3 หมื่นล้านบาท
ทั้งหมดนี้ ทำให้ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ของทะเลแดง ก็อาจจะยังเสี่ยงไม่มากพอ ที่จะถูกลดความสำคัญลง จากการเป็นเส้นทางการค้า และเส้นทางการส่งผ่านข้อมูลและอินเทอร์เน็ตที่สำคัญของโลก
ตราบใดที่ข้อมูลที่เรารับส่งกันอยู่ในปัจจุบัน ยังมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดเมื่อส่งผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ
หากต้องการให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ หลายฝ่ายที่พึ่งพาสายเคเบิลเหล่านี้ ก็คงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับชะตากรรม และจ่ายเงินซ่อมแซมในทุก ๆ ครั้งที่สายถูกตัดต่อไปอยู่ดี..