
หุ้น Amazon พุ่ง +13% ทำจุดสูงสุดใหม่ จากธุรกิจ Cloud ที่โตมากสุดในรอบ 3 ปี
Amazon ได้ประกาศงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2025 (เดือน กรกฎาคม - กันยายน 2025)
- มีรายได้ 5,820,000 ล้านบาท +13.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- มีกำไร 684,000 ล้านบาท +38.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
- มีกำไร 684,000 ล้านบาท +38.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งถ้าเรานับในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2025 เราจะเห็นว่า Amazon
- มีรายได้เติบโต +11.9% จากปีก่อน
- มีกำไร +43.9% จากปีก่อน
- มีรายได้เติบโต +11.9% จากปีก่อน
- มีกำไร +43.9% จากปีก่อน
โดยไฮไลต์ที่ทำให้หุ้น Amazon ในช่วงหลังตลาดปิด (After-Hours) พุ่ง +13% จนทำจุดสูงสุดตลอดการณ์ ก็คือธุรกิจ AWS Cloud สำหรับประมวลผล AI
โดยในไตรมาสนี้ เฉพาะธุรกิจ AWS Cloud 
สามารถทำรายได้ 1,065,000 ล้านบาท เติบโต +20%
สามารถทำรายได้ 1,065,000 ล้านบาท เติบโต +20%
ซึ่งถือว่า ทำรายได้เติบโตมากที่สุดในรอบ 11 ไตรมาส หรือในรอบเกือบ 3 ปี
ถ้าเราลองซูมอิน เข้าไปดูสัดส่วนรายได้ของ Amazon เราจะเห็นว่า
รายได้ 5,820,000 ล้านบาทแบ่งออกเป็น
- รายได้จากธุรกิจในอเมริกาเหนือ คือสหรัฐอเมริกา แคนาดา : 3,430,000 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 59.0% ของรายได้ทั้งหมด
คิดเป็นสัดส่วน 59.0% ของรายได้ทั้งหมด
- รายได้จากธุรกิจในประเทศอื่น ๆ : 1,320,000 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 22.7% ของรายได้ทั้งหมด
คิดเป็นสัดส่วน 22.7% ของรายได้ทั้งหมด
- รายได้จากธุรกิจ AWS Cloud : 1,065,000 ล้านบาท
คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของรายได้ทั้งหมด
คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ของรายได้ทั้งหมด
ซึ่งต้องบอกว่า รายได้จากธุรกิจโดยส่วนใหญ่ ก็คือรายได้จากธุรกิจหลักอย่าง E-Commerce  
และก็มีรายได้จากส่วนอื่นพ่วงมาบ้าง เช่นรายได้จากโฆษณา
และรายได้ค่า Subscription Amazon Prime
และก็มีรายได้จากส่วนอื่นพ่วงมาบ้าง เช่นรายได้จากโฆษณา
และรายได้ค่า Subscription Amazon Prime
เมื่อเราเห็นสัดส่วนรายได้แล้ว ทีนี้เราลองมาดูกำไรจากการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจกันบ้าง
- ธุรกิจในอเมริกาเหนือ สร้างกำไรจากการดำเนินงาน 155,000 ล้านบาท
- ธุรกิจในประเทศอื่น ๆ สร้างกำไรจากการดำเนินงาน 38,800 ล้านบาท
- ธุรกิจ AWS Cloud สร้างกำไรจากการดำเนินงาน 370,000 ล้านบาท
- ธุรกิจในประเทศอื่น ๆ สร้างกำไรจากการดำเนินงาน 38,800 ล้านบาท
- ธุรกิจ AWS Cloud สร้างกำไรจากการดำเนินงาน 370,000 ล้านบาท
จะเห็นว่าแม้ธุรกิจ AWS Cloud ของ Amazon จะมีสัดส่วนรายได้ที่น้อย 
แต่ธุรกิจ Cloud สามารถรีดกำไรออกมาได้ดีกว่าธุรกิจหลักอย่าง E-Commerce
แต่ธุรกิจ Cloud สามารถรีดกำไรออกมาได้ดีกว่าธุรกิจหลักอย่าง E-Commerce
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า โมเดลธุรกิจทั้ง 2 รูปแบบ มีโครงสร้างต้นทุนที่แตกต่างกัน
- อย่างธุรกิจ E-Commerce ก็จะต้องสต็อกสินค้า 
โดยเน้นซื้อมา - ขายไป และเก็บกินกำไร หรือค่าคอมมิชชันผ่านทางเพลตฟอร์มเพียงแค่นิดเดียว
 
- ส่วนธุรกิจ AWS Cloud เป็นธุรกิจที่บริษัทต้องให้เงิน Capex ลงทุนอย่างหนักเพียงไม่กี่ครั้ง เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
โดยเน้นซื้อมา - ขายไป และเก็บกินกำไร หรือค่าคอมมิชชันผ่านทางเพลตฟอร์มเพียงแค่นิดเดียว
- ส่วนธุรกิจ AWS Cloud เป็นธุรกิจที่บริษัทต้องให้เงิน Capex ลงทุนอย่างหนักเพียงไม่กี่ครั้ง เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่
ต้นทุนหลักของ AWS Cloud ก็มีแค่ต้นทุนคงที่อย่างค่าเสื่อมราคา ค่าไฟ และค่าบำรุงรักษา โดยที่ไม่ต้องสต็อกสินค้า
และธุรกิจ AWS Cloud ก็สามารถเก็บค่าบริการ เป็นรายเดือนหรือรายปี 
เพื่อสร้างกระแสเงินสด และกำไรจากการดำเนินงาน เข้าบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างกระแสเงินสด และกำไรจากการดำเนินงาน เข้าบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ธุรกิจ AWS Cloud สามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน ได้มากกว่าธุรกิจค้าปลีก แม้จะมีสัดส่วนรายได้ที่น้อยกว่านั่นเอง
นอกจากจะรีวิวงบ จากธุรกิจ E-Commerce และ AWS Cloud ไปแล้ว
ทีนี้ เราลองไปดูไฮไลต์ที่น่าสนใจในไตรมาสนี้ของ Amazon ว่ามีอะไรบ้าง
ทีนี้ เราลองไปดูไฮไลต์ที่น่าสนใจในไตรมาสนี้ของ Amazon ว่ามีอะไรบ้าง
โดย Andy Jassy CEO ของ Amazon ได้กล่าวว่า AI กำลังปรับปรุง Productivity ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ แง่มุมของธุรกิจ
และไฮไลต์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ Generative AI ก็มีดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน โดย Amazon ได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า มากกว่า 3.8 กิกะวัตต์ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มากกว่าผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่น ๆ
- การพัฒนาชิป Trainium 2 ซึ่งเป็นชิป AI ที่ Amazon ได้พัฒนาขึ้นมาเอง
ปัจจุบัน ลูกค้าอย่าง Databricks หรือ Anthropic ที่ Amazon ไปลงทุนด้วย
ก็ทดลองใช้ชิป Trainium 2 ในการเทรนโมเดล LLM เป็นของตัวเอง
ปัจจุบัน ลูกค้าอย่าง Databricks หรือ Anthropic ที่ Amazon ไปลงทุนด้วย
ก็ทดลองใช้ชิป Trainium 2 ในการเทรนโมเดล LLM เป็นของตัวเอง
- เปิดตัว Project Rainier ซึ่งเป็นคลัสเตอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่ที่มีชิป Trainium 2 เกือบ 500,000 ชิ้น เพื่อเร่งทำโครงสร้างพื้นฐานสำหรับทำ Generative AI
- เปิดตัว Kiro แพลตฟอร์มที่ออกแบบมา เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้ AI agents มาช่วยเขียนและจัดการโค้ดแบบอัตโนมัติ ปัจจุบันมีนักพัฒนาเข้าร่วมพรีวิวโค้ดแล้ว 100,000 ราย
- Amazon Connect ซึ่งเป็นศูนย์บริการลูกค้า Contact Center ในรูปแบบ AI เติบโตจนสร้างรายได้ต่อปีทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
การปรับปรุงธุรกิจ E-Commerce
- ขยายบริการจัดส่งสินค้าถึงวันเดียวกันและวันถัดไป ได้ถึง 60% ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา
- พัฒนา Rufus เป็น AI ที่ช่วยลูกค้าช็อปปิง ที่พัฒนาโดย Amazon 
โดย Rufus จะช่วยหยิบสินค้ามาเปรียบเทียบ ดูข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดย Rufus จะช่วยหยิบสินค้ามาเปรียบเทียบ ดูข้อมูลต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันมีลูกค้าใช้บริการ AI Rufus กว่า 250 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งนักช็อปที่ใช้ Rufus ซื้อสินค้าสำเร็จมากกว่า 60%
โดยไตรมาสนี้เพียงไตรมาสเดียว Amazon มีค่าใช้จ่ายด้าน R&D สำหรับโปรเจกต์ต่าง ๆ
ซึ่งระบุไว้ในค่าใช้จ่าย Technology and infrastructure อยู่ที่ 936,000 ล้านบาท
ซึ่งระบุไว้ในค่าใช้จ่าย Technology and infrastructure อยู่ที่ 936,000 ล้านบาท
และปี 2025 ผ่านไป 9 เดือน Amazon ได้ใช้งบไปกับ R&D ไปแล้ว 2,560,000 ล้านบาท
ถือว่าปัจจุบัน Amazon เป็นหนึ่งในบริษัท ที่ทุ่มงบไปกับการวิจัยและพัฒนามากที่สุดในโลก..
References
-AMAZON.COM ANNOUNCES THIRD QUARTER RESULTS
-AMAZON.COM ANNOUNCES THIRD QUARTER RESULTS