
"กลุ่มสมอทอง ไปรับซื้อปาล์มเกือบถึงหน้าสวนของเกษตร เรามีจุดรับซื้อมากกว่า 50 จุด ใน 7 จังหวัด จึงควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้ดี ได้วัตถุดิบที่สด แบบวันต่อวัน ซึ่งถ้าต้นทางมีวัตถุดิบที่ดี Finished Product ก็จะดีตาม.. นี่คือความแตกต่างของ กลุ่มสมอทอง"
คุณกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ TOP 5 ของประเทศ
ได้พูดในรายการ SNAPSHOT ลงทุนแมน ตอนล่าสุด ซึ่งเต็มไปด้วยอินไซต์ และเบื้องหลังทางธุรกิจมากมาย ที่น่าสนใจ
เป้าหมายสูงสุดของทาง กลุ่มสมอทอง คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เริ่มด้วยเรื่องราคาปาล์ม ผ่านยุคทองมาแล้วหรือยัง ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า ถ้าพูดถึงความผันผวนในด้านราคาของธุรกิจปาล์ม เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา มีราคาที่ไม่ได้สูงมาก แปลว่าราคาที่ซื้อพืชผลจากเกษตรกรก็ไม่สูงมากเช่นเดียวกัน
โดยยุคแรก จะมีการทำไบโอดีเซล เพื่อที่จะเอาน้ำมันบนดินไปทำเป็นเชื้อเพลิง ยุคนั้นน้ำมันแปรรูปได้ 2 ประเภท นอกจากการทำเป็นน้ำมันบริโภค ก็สามารถเป็นพลังงานได้ด้วย
ณ ปัจจุบัน ราคาตลาดน้ำมันจะมี 2 ตลาด คือตลาดในประเทศไทย และตลาดโลก
โดยบางครั้งราคาทั้ง 2 ตลาดจะไม่ได้ไปในทางเดียวกัน ทำให้มีช่องว่างในการทำ Arbitrage
ทำให้ช่วงที่ผ่านมา กลุ่มสมอทอง มีสัดส่วนในการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะว่าราคาในตลาดโลกดีกว่า
Finished Product ของเราคือ Crude Palm Oil (CPO) หรือ น้ำมันปาล์มดิบ
และตัว Palm Kernel (PK) เมล็ดในปาล์ม ที่จะจำหน่ายให้ลูกค้า เพื่อหีบเอาน้ำมันจากเนื้อเมล็ดในปาล์ม ไปใช้ในกลุ่มอิโลโอเคมิคอล หรือกลุ่มอาหาร เช่น Coffee Mate ที่จะเห็นในพวก Coffee Mate กลุ่มเบเกอรี กลุ่มเครื่องสำอาง และกลุ่มวิตามิน
และตัว Palm Kernel (PK) เมล็ดในปาล์ม ที่จะจำหน่ายให้ลูกค้า เพื่อหีบเอาน้ำมันจากเนื้อเมล็ดในปาล์ม ไปใช้ในกลุ่มอิโลโอเคมิคอล หรือกลุ่มอาหาร เช่น Coffee Mate ที่จะเห็นในพวก Coffee Mate กลุ่มเบเกอรี กลุ่มเครื่องสำอาง และกลุ่มวิตามิน
กลไกราคาน้ำมันปาล์ม เป็นอย่างไร ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า กลุ่มสมอทอง อยู่ตรงกลาง Supply Chain โดยซื้อจากเกษตรกร แล้วไปส่งให้โรงกลั่น
ถ้าซื้อถูก ก็จะขายถูก แต่ถ้าซื้อมาแพง ก็จะขายแพง ตาม Demand และ Supply
แม้ทาง กลุ่มสมอทอง ไม่มีสวนปาล์มเป็นของตนเอง แต่ปัจจุบันสวนปาล์มของเกษตรกร 4 แสนรายในประเทศไทย เปรียบเสมือนสวนปาล์มของ กลุ่มสมอทอง
เพราะทาง กลุ่มสมอทอง ได้ไปรับปาล์มเกือบถึงหน้าสวนของเกษตรกร โดยมีจุดรับซื้อมากกว่า 50 จุด ครอบคลุม 7 จังหวัด ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบได้ดี
ส่วนเรื่องคู่แข่งที่จะมาแย่งซื้อวัตถุดิบ ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม ?
คุณกิตติพงษ์ ตอบว่า ก็มีความเป็นไปได้ แต่ว่าการทำจุดรับซื้อไม่ได้ทำง่าย ๆ ต้องใช้เวลาหลายปี เพราะว่าการไปตั้งจุดรับซื้อ ก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรก่อน
แล้วภัยธรรมชาติจะทำให้มีผลกระทบหรือไม่ ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจเกษตรก็คือปริมาณน้ำฝน
ถ้าแล้งก็จะทำให้ผลผลิตตกต่ำ แต่ถ้าฝนเยอะก็จะทำให้ผลผลิตดีขึ้น ทำให้กำลังการผลิตของโรงงานต้องเหมาะสมกับวัตถุดิบที่ออกมา
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องบริหารจัดการต้นทุนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยิ่งใหญ่ ยิ่งมี Economies of Scale ต้นทุนต่อหน่วยก็จะน้อยลง โดยปัจจุบัน กลุ่มสมอทอง ถือว่าใหญ่เป็น TOP 5 ของประเทศ
ทำไมลูกค้าถึงเลือกเรา ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า คุณภาพของ Crude Palm Oil (CPO) หรือ น้ำมันปาล์มดิบ มาจากการคัดซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกร ซึ่งถ้าวัตถุดิบสดแบบวันต่อวัน ก็จะทำให้ CPO มีคุณภาพดี
ซึ่งการที่เรามีจุดรับซื้อที่เยอะ ก็หมายความว่า เราจะสามารถรับซื้อวัตถุดิบสด ๆ ได้แบบวันต่อวัน
ซึ่งถ้าต้นทางวัตถุดิบดี Finished Product ก็จะดีตาม นี่คือความแตกต่างของทาง กลุ่มสมอทอง
ซึ่งถ้าต้นทางวัตถุดิบดี Finished Product ก็จะดีตาม นี่คือความแตกต่างของทาง กลุ่มสมอทอง
ที่ผ่านมาส่วนที่เติบโตได้ดีคือตลาดอินเดีย ทำไม ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า พื้นที่ปลูกปาล์มที่ดีที่สุด คือใกล้แนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งก็คือประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และไทย ทำให้โอกาสที่อินเดียซึ่งอยู่ห่างออกไปจะปลูกปาล์มได้ในปริมาณมาก ๆ ยังไม่ทัน
ซึ่งเดิมทีอินเดีย บริโภคน้ำมันจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย
ส่วนในประเทศไทยที่มีกำลังการผลิต CPO 3 ล้านตัน
1 ล้านตันแรกจะอยู่ในรูปของการบริโภค ถัดมาจะอยู่ในรูปของพลังงาน และส่วนสุดท้ายประมาณ 30% จะอยู่ในรูปของการส่งออก โดยจุดแข่งขันก็คือ เรื่องต้นทุน
1 ล้านตันแรกจะอยู่ในรูปของการบริโภค ถัดมาจะอยู่ในรูปของพลังงาน และส่วนสุดท้ายประมาณ 30% จะอยู่ในรูปของการส่งออก โดยจุดแข่งขันก็คือ เรื่องต้นทุน
การผลิต CPO ที่เพิ่มขึ้นมาจากส่วนไหน ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า มาจากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเกษตรกรหันมาปลูกปาล์มมากขึ้น เพราะผลตอบแทนต่อไร่ดีขึ้น ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น
นอกจากตลาดอินเดียแล้ว มีตลาดไหน ที่มีโอกาสอีกบ้าง ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า เป็นกลุ่มแถบเอเชีย ประเทศที่มีความต้องการสินค้าราคาถูก โดยมองว่าราคายังเป็นปัจจัยสำคัญในการซื้อของผู้คน
ทางเราจึงมองเน้นไปที่ประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น จีน หรือประเทศใกล้เคียง ซึ่งตอนนี้กำลังมองหาอยู่
อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อผลประกอบการ ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า ปัจจัยแรก คือ เรื่องฤดูกาล โดย Q2 ผลผลิตจะออกมาเยอะ ซึ่งถ้า Economies of Scale เราได้ ต้นทุนถูกลง มาร์จินเราก็จะสูงขึ้น
ซึ่งช่วงที่ผ่านมา จากการไปซื้อกิจการ และขยายกำลังการผลิต ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความต้องการอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่เราทำคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ว่ามาซื้อของที่เรา มีของแน่นอน
และเพราะธุรกิจเป็นแบบ B2B ทำให้มีลูกค้าเจ้าใหญ่ไม่กี่ราย
โดยตลาดในประเทศ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มโรงกลั่น ซึ่งมีอยู่ 10 กว่าราย และกลุ่มหนึ่งก็จะเป็น Trader ซึ่งหลัก ๆ จะอยู่ในกลุ่มต่างประเทศ ในสิงคโปร์เป็นหลัก
ฉะนั้นการที่เราขาย CPO ให้ Trader ซึ่งทาง Trader เองก็จะมีลูกค้าโรงกลั่นในอินเดีย ซึ่งเป็นการ Diversify เพราะทางเรามีลูกค้าเป็นโบรกเกอร์ใหญ่ ซึ่งจะวิ่งไปหาลูกค้ารายย่อยอีกทีหนึ่ง
สำหรับแนวทางการเติบโตของกลุ่มสมอทอง จะเน้นการเติบโตในแนวราบ
1. การขยาย Capacity ในโรงงานเดิม
2. การขยายในโรงงานใหม่
3. การซื้อกิจการโรงงานอื่น
โดยเน้นทำสิ่งที่กลุ่มสมอทอง ถนัดมากที่สุด นั่นคือการทำสกัด
1. การขยาย Capacity ในโรงงานเดิม
2. การขยายในโรงงานใหม่
3. การซื้อกิจการโรงงานอื่น
โดยเน้นทำสิ่งที่กลุ่มสมอทอง ถนัดมากที่สุด นั่นคือการทำสกัด
และอีกสิ่งหนึ่งคือไฟฟ้า โดยมีการขายไฟฟ้าให้ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคด้วย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 12 เมกะวัตต์ ซึ่งก็สร้างกระแสเงินสดให้บริษัทเป็นอย่างดี
ส่วนหนึ่งที่ให้ความสำคัญคือ By Product ซึ่งทางเราก็มีการทำวิจัย ว่าจะทำอย่างไรให้ Make Waste to Best Value ให้ได้ใน Supply Chain นี้
ตั้งแต่การศึกษาเส้นใยปาล์ม เอาไปทำเป็นกระดาษ และอื่น ๆ ซึ่งนำไปสู่เอทานอล หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) เรียกว่า เชื้อเพลิงอากาศยานซึ่งผลิตมาจากวัตถุดิบทดแทน
และที่เราผลิตไฟฟ้า ปัจจุบันก็มีการนำไปผลิตเป็น Liquid Biomethane หรือ ก๊าซมีเทนชีวภาพเหลว มีคุณภาพใกล้เคียงกับก๊าซธรรมชาติ เพื่อทดแทนการนำเข้า LPG ซึ่งจะอยู่ในกลุ่มพลังงานสีเขียว
ซึ่งทั้งหมดที่ว่าคือขั้นตอนการศึกษา เพื่อทำให้สินค้ามี Value Added มากขึ้น ก็จะกลายเป็นอีกตลาดหนึ่งไปเลย ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก
ถ้า กลุ่มสมอทอง เปรียบเป็นคน มองว่าเป็นคนแบบไหน ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า จริง ๆ แล้ว สมอทอง เกิดขึ้นมาแล้ว 15 ปี แต่มารวมเป็น กลุ่มสมอทอง ก็ประมาณ 8 ปี
ซึ่ง 15 ปีที่อยู่ในธุรกิจ ก็เปรียบเสมือนวัยกลางคน 30 ปีกลาง ๆ ที่ผ่านความเหน็ดเหนื่อย ผ่านความยากลำบาก เงินทุนหมุนเวียนไม่พอ กำลังการผลิตไม่ได้ ลูกค้าไม่เชื่อมั่น หรือ Capacity ไม่เพียงพอ ซึ่งเราผ่านจุดนั้นมาหมดแล้ว
คนในช่วงวัย 35 ปี คือผ่านร้อนผ่านหนาว อยู่ในช่วงที่กำลังจะโลดแล่น แล้วก็จะบินไปข้างหน้า ซึ่งทางสมอทอง อยู่ในช่วงนั้น
บวกกับถ้าเราได้รับการสนับสนุนจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะทำให้เรามีกำลังในการไปขยาย Capacity เพิ่ม
แล้วก็ไปตอบโจทย์สังคมเรื่อง ESG ที่จะช่วยในเรื่องการวิจัยใน By Product เพื่อที่จะสร้างมูลค่าให้ธุรกิจ ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้เราติดจรวดเลย
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า ที่ผ่านมาจุดที่ลำบากที่สุด คือเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา คือการที่ยังตัวเล็ก แล้วผลผลิตออกเยอะ แล้วเราไม่มีที่ขาย
ทำให้สต๊อกแท็งก์เต็ม เกษตรกรยังขนปาล์มมาให้เราอยู่ แต่ทางเราก็ต้องชะลอการรับซื้อ นี่คือความยากลำบากของเรา จึงเป็นจุดกำเนิดแนวคิดที่ว่า เราต้องโตเท่านั้น เราถึงจะอยู่รอดในธุรกิจได้ ซึ่งเราผ่านสิ่งเหล่านี้มาได้แล้ว
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนไทยใช้น้ำมันปาล์มน้อยลง ?
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า เคยคิดเหมือนกันว่าจะมีอะไรมาทดแทนน้ำมันปาล์มไหม หรือจะมีอะไรที่ต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็น
ทำให้คุณกิตติพงษ์ มองว่าปาล์มไม่มีวันตาย เพราะว่าตั้งแต่ตื่นนอนมา สบู่ ยาสระผม โภคภัณฑ์ที่อยู่รอบตัวเราล้วนทำมาจากปาล์มทั้งนั้นเลย
และในขณะเดียวกัน น้ำมันพืชทดแทนไม่ว่า ถั่วเหลือง ดอกทานตะวัน หรืออื่น ๆ แต่ปาล์มราคาถูกกว่าเสมอ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
เพราะจากผลการวิจัยพบว่าพื้นที่ 1 ไร่ ปาล์มสามารถทำน้ำมันได้มากที่สุด เลยทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ
สุดท้าย มาถึงคำถามที่ว่า..
เป้าหมายหลังจากนี้ของ กลุ่มสมอทอง คืออะไร
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า เป้าหมายสูงสุดคือ อยากจะเป็นเบอร์ต้น ๆ ของประเทศในการผลิตน้ำมัน CPO เพราะมองว่าอันดับ TOP 5 ยังไม่พอ
เป้าหมายหลังจากนี้ของ กลุ่มสมอทอง คืออะไร
คุณกิตติพงษ์ บอกว่า เป้าหมายสูงสุดคือ อยากจะเป็นเบอร์ต้น ๆ ของประเทศในการผลิตน้ำมัน CPO เพราะมองว่าอันดับ TOP 5 ยังไม่พอ
และจะทำสิ่งที่เราถนัดที่สุด ก็คือการทำสกัด โดยไม่ได้เข้าไปทำในเรื่องต้นน้ำ หรือปลายน้ำ ในเรื่องของการทำสวน เพราะว่าต้นทุนที่ดินไม่ตอบโจทย์
การกลั่นที่เป็นปลายทาง ไปเป็น Product มีคนทำอยู่เยอะแล้ว ดังนั้นเรามีหน้าที่เป็นสะพานตรงกลาง ซื้อจากเกษตรกร ไปขายให้ผู้ผลิต Finished Product ไปให้ผู้บริโภค
ดังนั้นเราควรเป็นคนตรงกลางที่ดี มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ แล้วก็ดูแลสังคม สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ โรงงานให้อยู่ร่วมกันได้..