
สรุป 5 ประเด็น ก่อนที่ไทยจะลงทุน เรื่องแรร์เอิร์ท
สรุป 5 ประเด็น ก่อนที่ไทยจะลงทุน เรื่องแรร์เอิร์ท /โดย ลงทุนแมน
ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในปี 2025 จีนนำเรื่องแร่แรร์เอิร์ท หรือแร่หายาก มาใช้เป็นไพ่ต่อรองกับสหรัฐฯ
ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในปี 2025 จีนนำเรื่องแร่แรร์เอิร์ท หรือแร่หายาก มาใช้เป็นไพ่ต่อรองกับสหรัฐฯ
ซึ่งนับเป็นความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี และความมั่นคงของสหรัฐฯ ทำให้สหรัฐฯ ต้องดึงประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทย เข้ามาร่วมวงสมรภูมิแร่หายาก เพื่อลดการพึ่งพาจีน
ซึ่งแม้โอกาสนี้ จะทำให้ไทยสามารถเกาะห่วงโซ่อุปทานแร่หายากของโลกต่อไปได้ แต่ก็มีหลายประเด็นที่ไทยต้องประเมินเช่นกัน
แล้วมีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ประเด็นแรกคือ ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีการผลิตแร่หายากในเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
แม้ข้อมูลจากสหรัฐฯ ในปี 2024 ระบุว่า ไทยเป็นผู้ผลิตแร่หายากเป็นอันดับ 6 ของโลก ที่ 13,000 ตัน
แต่ตัวเลขข้างต้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการนำเข้าแร่ต้นน้ำ จากประเทศออสเตรเลีย เข้ามาสกัดให้ได้แร่หายาก ในโรงงานสัญชาติแคนาดาในไทย
นั่นเท่ากับว่า ผลผลิตแร่หายากในไทย ไม่ได้เป็นผลมาจากศักยภาพของไทยเอง ไม่ว่าจะเป็น ทั้งขั้นตอนการขุดเจาะให้ได้แร่ต้นน้ำ หรือการสกัดให้ได้แร่หายาก
ประเด็นที่ 2 ไทยมีสำรองแร่หายากในระดับที่ต่ำมาก
โดยรายงานจากสหรัฐฯ ระบุว่า ไทยมีระดับสำรองแร่หายากเพียง 4,500 ตัน เท่านั้น
หากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม ที่แม้ผลิตแร่หายากได้เพียง 300 ตัน แต่มีปริมาณสำรองแร่หายากถึง 3,500,000 ตัน ซึ่งสูงกว่าไทยเกือบ 800 เท่า
ขณะที่จีน ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตแร่หายากของโลก มีปริมาณสำรองแร่หายากสูงถึง 44,000,000 ตัน
ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นที่ว่ามานี้ ก็น่าจะสะท้อนว่าศักยภาพการผลิตแร่หายากของไทยในปัจจุบันนั้น อยู่ในระดับต่ำ
และหากไทยอยากเกาะขบวนรถไฟของอุตสาหกรรมนี้ ไทยต้องเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต..
ประเด็นที่ 3 คือ ไทยจำเป็นต้องใช้งบประมาณในระดับสูง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตแร่หายาก
ทั้งนี้ กระบวนการผลิตแร่หายาก แบ่งออกเป็น 3 ช่วง
- ต้นน้ำ คือ การทำเหมือง (Mining) ขุดเอาแร่
- กลางน้ำ คือ การแยก (Separating) หรือการสกัด (Refining) ให้ได้แร่หายาก
- ปลายน้ำ คือ การประกอบแร่หายาก หรือทำเป็นชิ้นส่วน เพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบในสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงต่อไป
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาในช่วงไหน ก็ต้องทุ่มด้วยงบประมาณ บุคลากร และองค์ความรู้จำนวนมาก
ยกตัวอย่าง ในช่วงของกระบวนการทำเหมือง แม้เป็นช่วงที่ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีในระดับต่ำกว่า เมื่อเทียบกับกระบวนการในช่วงสกัดและประกอบ
แต่ด้วยไทยมีข้อจำกัดจากระดับสำรองแร่หายากที่ต่ำ อาจต้องทำโครงการสำรวจแหล่งธรณีใหม่ เพื่อหาพื้นที่ศักยภาพในการทำเหมืองแร่หายากเพิ่มเติม
ซึ่งการสำรวจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ก็นับว่าต้องใช้งบประมาณในระดับสูงเช่นกัน
ยกตัวอย่าง โครงการจัดทำแผนที่ทรัพยากรธรณี (Earth MRI) ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2019 ของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ ซึ่งใช้งบประมาณไปกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท
หรือโครงการจัดหาทรัพยากรเพื่อความมั่งคั่งของออสเตรเลีย (RAP) ระหว่างปี 2024-2034 ที่ตั้งงบประมาณไว้กว่า 1.8 หมื่นล้านบาท
โดยขนาดพื้นที่ของไทยเล็กกว่า 2 ประเทศนี้หลายเท่า โครงการสำรวจทางธรณีของไทย จึงอาจมีต้นทุนรวมที่ต่ำกว่าได้ แม้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอย่างในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม โครงการสำรวจแร่หายาก นับว่ามีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะแม้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ราคาแพง แต่หากไทยไม่ได้พบแหล่งแร่ศักยภาพเพิ่มเติม ก็อาจกลายเป็นการลงทุนเปล่าไปเลย
แต่หากไทยมองหาความเสี่ยงที่ต่ำกว่า โดยหันมาเพิ่มขีดความสามารถในช่วงการสกัดแร่หายาก เพราะไทยสามารถเป็นแหล่งรับสกัดแร่ จากพื้นที่ใกล้เคียงอย่าง เวียดนามและเมียนมาได้
แต่การเพิ่มขีดความสามารถในช่วงการสกัด หรือช่วงการประกอบ ต้องใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ซับซ้อนกว่า การสำรวจและทำเหมือง
หมายความว่า ไทยอาจต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่าเป็นอย่างมาก เพราะไทยเองยังขาดทั้งองค์ความรู้ และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเป็นที่มาของการหาความร่วมมือหรือแรงสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อให้ไทยใช้งบประมาณลงทุนที่ต่ำลง
ประเด็นที่ 4 ความร่วมมือที่อาจมาพร้อมการเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ และจีน
แม้ความสามารถในการผลิตแร่หายากของไทยยังต่ำ แต่สหรัฐฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของไทย จากปริมาณการผลิตแร่ในระดับต้น ๆ ของโลก
จึงผลักดันให้เกิดการลงนาม MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่หายาก กับรัฐบาลไทย
อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยเอง ก็อาจเห็นว่า สมรภูมิแร่หายากระหว่างสหรัฐฯ และจีน เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ
สะท้อนผ่านแผนงบประมาณที่สูงขึ้นในโครงการเร่งรัดสำรวจและจัดทำแผนที่แร่หายาก ของกรมทรัพยากรธรณี
ซึ่ง MOU กับสหรัฐฯ อาจช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทย ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และช่วยให้เข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตแร่หายากได้
อย่างไรก็ดี การพึ่งพิงแรงสนับสนุนของสหรัฐฯ มากเกินไป อาจทำให้ไทยถูกมองว่า เลือกข้าง ในสมรภูมิการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ไทย-จีน
ด้วยเหตุนี้ ไทยควรดำเนินนโยบายที่เปิดรับความร่วมมือจากหลากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย สหภาพยุโรป รวมถึงจีน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจ
นอกจากนั้น ไทยอาจใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม มาเป็นประเด็นสำคัญในการแสวงหาความร่วมมือ
ประเด็นที่ 5 ไทยต้องกำหนดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับการทำเหมือง หรือโครงการสกัดแร่หายาก
ทั้งนี้ แร่พาหะที่พบในประเทศไทยเป็นหลัก คือ โมนาไซต์ (Monazite) ที่สกัดได้แร่หายากอย่าง Ce (ซีเรียม) และ Nd (นีโอดิเมียม)
การสกัดให้ได้แร่หายาก จากโมนาไซต์ มักมี “ทอเรียม” (Thorium) ที่เป็นธาตุกัมมันตรังสี ปนเปื้อนสูงกว่าแร่ชนิดอื่น ๆ
แม้ความเสี่ยงหลักจะอยู่ในขั้นตอนการสกัดแร่ แต่กระบวนการทำเหมืองต้นน้ำก็มีความสำคัญไม่น้อย
เนื่องจากอาจก่อให้เกิดสารกัมมันตรังสี หรือโลหะหนักสู่แหล่งน้ำและดิน หากมาตรการควบคุมไม่ได้มาตรฐาน
ซึ่งทอเรียมเป็นอันตรายอย่างมาก โดยหากสูดดมเข้าสู่ร่างกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด
ทำให้ความเสี่ยงในการจัดการกัมมันตรังสี เป็นประเด็นที่ต้องถูกควบคุมอย่างเข้มงวดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ
ไม่เช่นนั้น อาจเกิดปัญหาเช่นเดียวกับกรณีของมาเลเซีย ที่บริษัท Lynas Rare Earths สัญชาติออสเตรเลีย ที่ไม่ได้จัดการกากกัมมันตรังสีอย่างปลอดภัย จนเกิดการต่อต้านของสาธารณชน
ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยต้องพิจารณาหาความร่วมมือ ที่สนับสนุนการเข้าถึง เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย
ทั้งนี้ แม้สมรภูมิแร่หายาก หรือแรร์เอิร์ท อาจจะถูกมองเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็มาพร้อมความท้าทาย จากขีดความสามารถของไทยที่ยังต่ำ และความเสี่ยงจากทั้งด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านภูมิรัฐศาสตร์
ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาและบริหารจัดการอย่างรอบด้าน..