
“ถั่วเหลือง” อีกหนึ่งไพ่เด็ดของจีน ที่ใช้ต่อรองสหรัฐฯ ในสงครามการค้า
“ถั่วเหลือง” อีกหนึ่งไพ่เด็ดของจีน ที่ใช้ต่อรองสหรัฐฯ ในสงครามการค้า /โดย ลงทุนแมน
นอกจากชิป และแร่หายาก จีนยังมีอีก 1 ไพ่ใบสำคัญ ที่เอาไว้สู้ศึกสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นั่นคือ “ถั่วเหลือง”
นอกจากชิป และแร่หายาก จีนยังมีอีก 1 ไพ่ใบสำคัญ ที่เอาไว้สู้ศึกสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นั่นคือ “ถั่วเหลือง”
แม้ว่าสหรัฐฯ มีรายได้จากการส่งออกถั่วเหลือง มูลค่าไม่ถึง 1% ของ GDP แต่ถั่วเหลือง กลับเป็นเรื่องที่อยู่บนโต๊ะเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนเสมอ
ทำไม จีนถึงใช้ ถั่วเหลือง เป็นเครื่องมือต่อรอง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
สหรัฐฯ ถือเป็นผู้ส่งออกสินค้าการเกษตร อันดับ 1 ของโลก โดยมีถั่วเหลืองเป็นสินค้าการเกษตรที่ถูกส่งออกมากที่สุด
แม้ว่าสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ นั้นถูกผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ ซึ่งมีการส่งออกแค่ประมาณ 20% เท่านั้น
แต่สำหรับถั่วเหลือง ที่ถูกผลิตเฉลี่ยปีละ 115 ล้านตัน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นระดับผลผลิตที่เยอะมาก
ทำให้ถั่วเหลืองเป็นสินค้าที่พึ่งพาตลาดการส่งออกสูงกว่าปกติ
ทำให้ถั่วเหลืองเป็นสินค้าที่พึ่งพาตลาดการส่งออกสูงกว่าปกติ
ลองเทียบกับภาพ ไทยและเวียดนาม ที่เป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก ผลิตข้าวเปลือกรวมกันได้เฉลี่ยปีละ 75 ล้านตัน ยังน้อยกว่าผลผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว
ซึ่งประเทศจีนก็คือ ผู้ซื้อถั่วเหลืองรายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยในปี 2024 สหรัฐฯ ส่งออกถั่วเหลืองไปจีน กว่า 50% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าราว 4 แสนล้านบาท
ทำให้จีนมีอำนาจต่อรองสูงมาก จึงมีการใช้อำนาจดังกล่าว เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ในช่วงที่สงครามการค้ามีความตึงเครียดสูง
ข้อมูลจีนนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ช่วงสงครามการค้า 1.0
- ปี 2018 ปริมาณการนำเข้า 27.8 ล้านตัน ลดลง 86% จากปีก่อนหน้า
- ปี 2019 ปริมาณการนำเข้า 41 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนหน้า
แม้ในปี 2019 จีนนำเข้าถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการนำเข้ายังคงไม่กลับไปเท่าเดิม ที่ 200 ล้านตัน ในปี 2017 หรือช่วงก่อนสงครามการค้า
เรื่องนี้ ถูกนำขึ้นมาสู่โต๊ะเจรจาการค้าแล้ว ซึ่งปรากฏในข้อตกลงการค้าชุดแรก ปี 2020
โดยจีนรับประกันการซื้อสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท ภายใน 2 ปี (ปี 2020-2021) ทำให้จีนนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เยอะขึ้นมากในปี 2020
ซึ่งเหตุการณ์ข้างต้น ก็เหมือนจะถูกฉายซ้ำอีกครั้ง
ในสงครามการค้า 2.0 ที่เริ่มขึ้นในปีนี้
ในสงครามการค้า 2.0 ที่เริ่มขึ้นในปีนี้
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลดการนำเข้าถั่วเหลืองเหมือนครั้งก่อน แต่ถึงขั้นไม่ได้มีการจองซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เลย ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ยอดจองซื้อถั่วเหลืองที่ดิ่งลงเหลือศูนย์ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี หรือตั้งแต่ปี 1999
สถานการณ์นี้ ทำให้ราคาซื้อขายถั่วเหลืองล่วงหน้า ในตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ชิคาโก (CBOT) ร่วงลง
เกษตรกรของสหรัฐฯ จึงเลื่อนการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองออกไป จากเดิมที่จะเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน เพื่อเลี่ยงการขายถั่วเหลืองในราคาต่ำ
ทำให้เรื่องนี้ กลับมาอยู่บนโต๊ะเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอีกครั้งในปี 2025 ซึ่งได้ข้อสรุปแบบเดิมที่ว่า จีนตกลงที่จะซื้อสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
แต่ด้วยมีการให้รายละเอียดที่ไม่ตรงกัน ทำให้ยังไม่แน่ว่าจีนจะซื้อเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน
ตรงนี้ก็อาจเป็นสัญญาณที่ดี และเพิ่มความพึงพอใจให้กับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ได้บ้าง
เพราะหลังมีข้อตกลงการค้าออกมา ราคาซื้อขายถั่วเหลืองล่วงหน้าใน CBOT ก็แตะจุดสูงสุด ในรอบเกือบ 4 เดือน
ทั้งนี้รูปแบบของเหตุการณ์ที่วนซ้ำแบบนี้ ก็อาจสร้างความสงสัยให้ใครหลายคนว่า ทำไมถั่วเหลือง ดูเป็นเรื่องสำคัญกับสหรัฐฯ มากขนาดนั้น
เพราะถั่วเหลืองก็เป็นสินค้าการเกษตรทั่วไป ไม่ใช่สินค้ายุทธศาสตร์อย่าง แรร์เอิร์ท และชิป ที่เป็นประเด็นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
อีกทั้งเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มี GDP เกือบ 1,000 ล้านล้านบาท รายได้จากการส่งออกถั่วเหลือง ยังไม่ถึง 1% ของ GDP ด้วยซ้ำ
และอีกเรื่องที่สำคัญ คือ การปลูกถั่วเหลืองในสหรัฐฯ ไม่ได้ใช้แรงงานมาก แบบที่เราเห็นในการทำการเกษตรในประเทศไทย หรือในประเทศใกล้เคียง
โดยข้อมูลจากกระทรวงการเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่า ฟาร์มถั่วเหลืองในสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 3-4% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ดังนั้น ภาคการผลิตถั่วเหลือง ไม่ได้หนุนตลาดแรงงานมากขนาดนั้น
ยิ่งเป็นที่น่าสงสัยไปอีกว่า ทำไมสหรัฐฯ ต้องยัดข้อตกลงเรื่องการซื้อถั่วเหลืองไว้ ในการเจรจาการค้ากับจีนเสมอ
ซึ่งข้อสงสัยนี้อาจตอบได้ด้วย พื้นที่ที่ปลูกถั่วเหลืองมากที่สุดในสหรัฐฯ นั่นคือ ภูมิภาคตอนกลางค่อนไปทางตะวันตก หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า แถบมิดเวสต์ (Midwest)
พื้นที่เหล่านี้ ล้วนเป็นฐานเสียงที่สำคัญของพรรคริพับลิกัน และโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
ซึ่งจีน ก็รู้ถึงความสำคัญนี้เป็นอย่างดี และใช้ถั่วเหลือง ในการเพิ่มแต้มต่อของการเจรจาในสงครามการค้า
เพราะสหรัฐฯ เอง ไม่ใช่ผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่เจ้าเดียว โดยบราซิล ถือเป็นผู้ผลิตถั่วเหลืองรายใหญ่อีกเจ้า และจริง ๆ แล้วบราซิลผลิตถั่วเหลืองเยอะกว่าสหรัฐฯ เสียอีก
ทำให้จีนไม่ได้มีความเสี่ยงในการเลิกซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ มากนัก เพราะบราซิลสามารถเป็นซัปพลายเออร์ถั่วเหลืองรายใหญ่ให้กับจีน แทนสหรัฐฯ ได้
กลับกัน อาจไม่มีประเทศไหน จะเข้ามาเป็นผู้ซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รายใหญ่ ทดแทนจีน
ซึ่งทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างตลาดของถั่วเหลือง บวกกับปัจจัยด้านการเมืองของสหรัฐฯ นี้เอง ที่ทำให้ “ถั่วเหลือง” กลายเป็นไพ่ต่อรองที่มีค่าของจีน ในสงครามการค้า..