มาเลเซีย ขายสินค้าเกษตร ด้วยตลาดซื้อขายล่วงหน้า

มาเลเซีย ขายสินค้าเกษตร ด้วยตลาดซื้อขายล่วงหน้า

มาเลเซีย ขายสินค้าเกษตร ด้วยตลาดซื้อขายล่วงหน้า /โดย ลงทุนแมน
ในวันที่สินค้าเกษตรไทย ยังผันผวนตามราคาตลาดโลกที่ไม่แน่นอน แต่มาเลเซีย กลับเลือกใช้เครื่องมือทางการเงิน มาช่วยลดความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรตรงนี้
เครื่องมือนั้น เรียกว่า ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ที่ทำให้มาเลเซียสามารถขายสินค้าเกษตรในราคาที่แน่นอน จนลดความผันผวนของราคาไปได้เยอะมาก
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มาจากกลยุทธ์ที่ตั้งใจวางมาตั้งแต่ปี 1980 จนทำให้มาเลเซีย เป็นตลาดอ้างอิงราคาสินค้าเกษตรอย่างปาล์มน้ำมันระดับโลกไปแล้ว
เรื่องนี้น่าสนใจแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
จริง ๆ แล้ว มาเลเซียวางแผนให้เกษตรกรปลูกสินค้าเกษตรที่แพงมากขึ้นตั้งแต่ปี 1960 เพื่อทำให้เกษตรกรในประเทศตัวเองมีรายได้เพิ่มขึ้น จนหลุดพ้นความยากจนไปได้
โดยเปลี่ยนจากปลูกมะพร้าว มาเป็นโกโก้
หรือเปลี่ยนจากปลูกยางพารา มาเป็นปาล์มน้ำมัน
ถ้าลองสังเกตดี ๆ พืชที่มาเลเซียส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เป็นพืชที่สามารถต่อยอดไปเป็นสินค้าอื่น ๆ และสร้างอุตสาหกรรมในประเทศได้อีกมากมาย
โกโก้ ที่เอาไปต่อยอดเป็นช็อกโกแลต หรือใส่ในส่วนผสมของอาหารหรือเครื่องดื่มต่าง ๆ
ส่วนปาล์มน้ำมัน ก็เอาไปทำเป็นน้ำมันปาล์มออกมาใช้ทำอาหาร ส่วนผสมในไอศกรีม ไบโอดีเซล สบู่ เครื่องสำอาง หรือเคมีภัณฑ์ เรียกได้ว่า ขายได้หลายอุตสาหกรรมมาก
ดังนั้น เลยไม่แปลกใจว่าทำไมมาเลเซียถึงเน้นให้เกษตรกรปลูกโกโก้และปาล์มน้ำมัน เพราะสองอย่างนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของตัวเองได้มหาศาล
แต่อยู่ดี ๆ ถ้าเราเดินไปบอกให้เกษตรกรเปลี่ยนจากปลูกมะพร้าวและยางพารา มาปลูกโกโก้และปาล์มน้ำมันเลย
มันคงทำไม่ได้แน่ ๆ
ในช่วงแรก มาเลเซียจึงให้เงินช่วยเหลือการผลิตของเกษตรกร ไปจนถึงการจัดตั้งหน่วยงานรัฐขึ้นมา เพื่อย้ายเกษตรกรที่ยากจน ไปทำกินในโซนนิงที่เหมาะสม
การทำแบบนี้ ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชชนิดใหม่ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงได้ เพราะรัฐเลือกที่ดินให้เหมาะสมแล้ว แถมยังช่วยแก้ปัญหาความยากจนไปพร้อมกันด้วย
นับจากนั้นเป็นต้นมา ด้วยนโยบายหลักแบบนี้ มาเลเซียก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากประเทศที่ปลูกยางพาราเป็นหลัก มาเป็นประเทศที่ปลูกปาล์มน้ำมันถึง 8 ใน 10 ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมดแทน
อย่างไรก็ตาม แม้มาเลเซียจะดูประสบความสำเร็จในการพลิกประเทศ ให้ปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาใหญ่ของสินค้าเกษตรก็ยังไม่ถูกแก้สักที
ปัญหาที่ว่านี้ ซึ่งเจอเหมือนกันทุกประเทศ นั่นคือ ราคาสินค้าเกษตรที่ผันผวนและควบคุมได้ยาก
พูดง่าย ๆ คือ แต่ละปีแม้เกษตรกรจะปลูกได้เท่าเดิม แต่รายได้ก็จะไม่คงที่ เพราะราคารับซื้อเปลี่ยนไปตามฤดูกาลนั้น ๆ แทน
ซึ่งราคารับซื้อ ก็ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศว่าสมบูรณ์แค่ไหนด้วย ในปีที่ผลผลิตออกมาเยอะจนล้นตลาด ก็ยิ่งกดราคารับซื้อให้ต่ำลงไปอีก
เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น รัฐบาลมาเลเซียเลยตัดสินใจสร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้าขึ้นมาในปี 1980 โดยใช้ชื่อว่า Malaysia Derivatives Exchange
ตลาดซื้อขายล่วงหน้านี้ มีนวัตกรรมการเงินที่เรียกว่า Futures ผูกติดกับสินค้าเกษตรหลัก ๆ อย่างปาล์มน้ำมันที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไปแล้ว
Futures คือ การที่เราทำสัญญากับอีกฝ่ายว่าจะซื้อสินค้านั้นในราคาที่ตกลงกันไว้ แต่ต้องวางเงินจำนวนหนึ่งไว้เพื่อเป็นหลักประกันสัญญาเอาไว้
ถ้าให้ลองเทียบภาพง่าย ๆ ว่ามันประมาณไหน มันเหมือนกับเราอยากซื้อข้าวกล่อง 3,000 กล่อง แต่เราตกลงราคาต่อกล่องกับร้านอาหารเอาไว้ล่วงหน้า และวางเงินมัดจำไว้บางส่วน
การทำแบบนี้ ทำให้ฝั่งคนขายก็สามารถการันตีรายได้ที่แน่นอนมากขึ้น ส่วนฝั่งคนซื้อก็สามารถวางแผนควบคุมต้นทุนล่วงหน้าได้ ว่าจะเลือกล็อกราคาผ่านสัญญา Futures ดีหรือไม่
ฝั่งคนรับซื้อ ก็เช่น โรงงานแปรรูป ผู้ส่งออก หรือบริษัทที่ต้องการน้ำมันปาล์มดิบ
ส่วนฝั่งคนขาย ก็คือ เกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตรนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เกษตรกรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ตลาดซื้อขายล่วงหน้านี้โดยตรง เพราะต้องขายผลผลิตปาล์มสดส่งต่อให้กับบริษัทต่าง ๆ แทน
ฝั่งคนรับซื้ออย่างบริษัท ที่รู้ราคาซื้อขายล่วงหน้าของน้ำมันปาล์มอยู่แล้ว จึงพยายามรักษาส่วนต่างระหว่างราคารับซื้อผลปาล์มสดและน้ำมันปาล์ม
นอกจากนี้ ในมุมของเกษตรกรรายเล็ก การเปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะใน 1 สัญญา ต้องมีผลผลิตน้ำมันปาล์มขั้นต่ำ 25 ตัน
ผลผลิตน้ำมันปาล์มขั้นต่ำแม้จะดูไม่เยอะ แต่ก็ทำให้เกษตรกรต้องผลิตปาล์มน้ำมันจำนวนมาก เพื่อสามารถแปรรูปขายเป็นน้ำมันปาล์มในตลาดซื้อขายล่วงหน้า
ปกติแล้ว ผลผลิตปาล์มสด 1 ตัน จะได้น้ำมันปาล์มออกมาขั้นต่ำราว 0.2 ตัน แปลว่า ถ้าอยากเปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 25 ตัน ก็ต้องมีผลผลิตปาล์มสด 125 ตัน
ในทุกปี เกษตรกรรายเล็กผลิตปาล์มออกมาได้ราว 17 ตันต่อพื้นที่ 1 เอเคอร์ หรือประมาณ 6 ไร่
เรียกได้ว่า ถ้าเกษตรกรมีพื้นที่แค่นี้ แค่ปลูกปาล์มน้ำมัน 1 ปี ยังไม่มีผลผลิตเพียงพอที่จะแปรรูปเป็นน้ำมันปาล์ม แล้วสามารถเปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
และแปลว่า เราต้องมีพื้นที่ราว 42 ไร่ ถึงจะเพียงพอให้ผลิตน้ำมันปาล์มออกมาเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แต่ในช่วงเก็บเกี่ยวแต่ละรอบ ก็ยากมาก ๆ ที่จะมีผลผลิตเยอะขนาดนั้นออกมาครั้งเดียว
นี่ยังไม่รวมการลงทุนโรงงานแปรรูปของตัวเอง ไปจนถึงพื้นที่เก็บน้ำมันปาล์มที่เยอะขนาดนั้น เพื่อผูกติดกับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เกิดขึ้น
ดังนั้น เกษตรกรส่วนใหญ่ในมาเลเซีย จึงเลือกส่งขายให้กับบริษัทต่าง ๆ เอาไปแปรรูปแทน แม้ว่าจะต้องเจอความเสี่ยงคุณภาพลดลง ถ้าส่งผลผลิตช้าเกิน 24 ชั่วโมง
อ่านมาถึงตรงนี้ สุดท้ายเราคงคิดว่าเกษตรกรไม่ค่อยได้ประโยชน์จากตลาดซื้อขายล่วงหน้า แต่เป็นบริษัท โรงงานแปรรูป หรือผู้ส่งออกแทน
แต่จริง ๆ แล้ว ในปีที่ผ่านมา ราคาปาล์มสดเพิ่มขึ้น 12.6% และราคาน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น 9.7% แปลว่า ตลาดน้ำมันปาล์ม มีราคาเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งเรื่องนี้ ก็เกิดจากการมีตลาดซื้อขายล่วงหน้า ที่ทำให้บรรดาผู้รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร รู้เทรนด์ราคาน้ำมันปาล์มล่วงหน้า จนทำให้ตั้งราคารับซื้อได้ดีมากขึ้น
ดังนั้น แม้เกษตรกรจะไม่ได้ประโยชน์ทางตรง แต่ก็ได้ประโยชน์ทางอ้อม เรื่องความโปร่งใสของราคา จากการมีตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตรงที่สามารถขายในราคาขึ้นลงตามตลาดโลกได้
บทเรียนจากมาเลเซีย ก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่า ถ้าเรามีการวางแผนที่เป็นระบบเพียงพอ ก็สามารถทำให้ประเทศมีจุดแข็งมากพอ
โดยเฉพาะวิสัยทัศน์ของมาเลเซีย ที่สร้างตลาดซื้อขายล่วงหน้ามาตั้งแต่ปี 1980 จนปัจจุบัน ทั่วโลกก็ต้องมาอ้างอิงราคาน้ำมันปาล์มที่ประเทศตัวเองได้สำเร็จ
ซึ่งไม่ต้องมาคอยกังวลว่า ใครจะเป็นผู้กำหนดราคาในตลาดโลก เพราะตัวเองสร้างตลาดโลกขึ้นที่ประเทศตัวเองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon