
Sogo Shosha ธุรกิจเส้นเลือดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่มาจากพ่อค้าผู้ต่ำต้อย ก่อนการปฏิวัติเมจิ
Sogo Shosha ธุรกิจเส้นเลือดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่มาจากพ่อค้าผู้ต่ำต้อย ก่อนการปฏิวัติเมจิ /โดย ลงทุนแมน
Sogo Shosha หรือ 5 กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น อย่าง Mitsubishi, Mitsui, Sumitomo Corporation, ITOCHU และ Marubeni
Sogo Shosha หรือ 5 กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น อย่าง Mitsubishi, Mitsui, Sumitomo Corporation, ITOCHU และ Marubeni
ที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ตัดสินใจ นำบริษัท Berkshire Hathaway เข้าไปถือหุ้นใหญ่
รู้หรือไม่ ? ว่าอาณาจักรธุรกิจทั้ง 5 กลุ่ม ผู้สร้างรากฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของญี่ปุ่น
มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มพ่อค้า ซึ่งอยู่ในชนชั้นล่างสุดในสมัยเอโดะ ที่ปกครองด้วยโชกุน ก่อนการปฏิวัติเมจิ
มีจุดเริ่มต้นมาจากกลุ่มพ่อค้า ซึ่งอยู่ในชนชั้นล่างสุดในสมัยเอโดะ ที่ปกครองด้วยโชกุน ก่อนการปฏิวัติเมจิ
แต่ต่อมา กลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ ก็ได้ค้าขาย ทำธุรกิจ และสะสมทุนมาเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่
ถ้าใครได้ติดตามซีรีส์ Last Samurai Standing ที่พูดถึงเรื่องการสู้รบกันของเหล่านักรบซามูไร เพื่อแย่งชิงรางวัล
เราก็จะได้เห็นตัวร้าย เป็น 4 กลุ่มตระกูลนายทุนยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ได้แก่
Mitsui, Mitsubishi, Sumitomo และ Yasuda ที่ใหญ่มากในยุคนั้น และใครก็ทำอะไรไม่ได้
Mitsui, Mitsubishi, Sumitomo และ Yasuda ที่ใหญ่มากในยุคนั้น และใครก็ทำอะไรไม่ได้
โดยทั้ง 4 กลุ่มนี้ ในยุคแรกได้รวมตัวกันเป็น “กลุ่มไซบัตสึ” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ทำให้ธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ ในญี่ปุ่นแข็งแกร่งในเวลาต่อมา
ทำให้ธุรกิจและแบรนด์ต่าง ๆ ในญี่ปุ่นแข็งแกร่งในเวลาต่อมา
แต่จากความยิ่งใหญ่นี้ก็ไม่ได้มาง่าย ๆ
ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 300 กว่าปีก่อน ก็ต้องบอกว่ากลุ่มทุนกลุ่มนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากพ่อค้าในยุคเอโดะ
ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 300 กว่าปีก่อน ก็ต้องบอกว่ากลุ่มทุนกลุ่มนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากพ่อค้าในยุคเอโดะ
ในยุคเอโดะ ก็เป็นยุคที่โชกุน รัฐบาลของญี่ปุ่นสั่งปิดประเทศ และไม่ให้ชาวญี่ปุ่นทำมาค้าขายกับชาวต่างชาติ ยกเว้นที่ท่าเรือในเมืองนางาซากิ ที่ได้รับอนุญาตให้ค้าขายเฉพาะกับชาวดัตช์
นอกจากการกีดกันทางการค้า ในยุคเอโดะก็ยังมีโครงสร้างทางสังคม ที่แบ่งชนชั้นตามหน้าที่ในแบบของขงจื๊อ
คือกลุ่มพ่อค้า ถูกจัดให้เป็นกลุ่มที่อยู่ชนชั้นล่างสุดในสังคม
คือกลุ่มพ่อค้า ถูกจัดให้เป็นกลุ่มที่อยู่ชนชั้นล่างสุดในสังคม
เพราะตอนนั้นสังคมญี่ปุ่นมองว่า อาชีพพ่อค้าเป็นเพียงผู้แลกเปลี่ยนสินค้า ไม่ได้สร้างคุณค่าในเชิงผลผลิต แถมยังไม่ได้ปกป้องประเทศเหมือนซามูไร
หากเราไปดูสัดส่วนประชากรโดยประมาณ ก็จะเห็นว่า
- กลุ่มซามูไร เป็นชนชั้นสูงที่สุดในสังคม มีสัดส่วนประชากร 5% ของทั้งประเทศ
- ชาวนา หรือเกษตรกร เป็นชนชั้นสูงรองลงมา มีสัดส่วนประชากร 85% ของทั้งประเทศ
- ช่างฝีมือ มีสัดส่วนประชากร 5% ของคนทั้งประเทศ
- พ่อค้า ชนชั้นล่างสุดของสังคม มีสัดส่วนประชากร 5% ของคนทั้งประเทศ
- ชาวนา หรือเกษตรกร เป็นชนชั้นสูงรองลงมา มีสัดส่วนประชากร 85% ของทั้งประเทศ
- ช่างฝีมือ มีสัดส่วนประชากร 5% ของคนทั้งประเทศ
- พ่อค้า ชนชั้นล่างสุดของสังคม มีสัดส่วนประชากร 5% ของคนทั้งประเทศ
โดยกลุ่มซามูไร ที่เป็นชนชั้นสูงสุด ก็แทบไม่มีทักษะในด้านการประดิษฐ์ และการค้าขาย
เพราะกลุ่มซามูไรในยุคนั้น มีข้อจำกัดทางกฎหมาย ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำมาค้าขาย หรือทำงานอื่น ๆ ที่ถือว่าเป็นการใช้แรงงาน เพื่อรักษาเกียรติของความเป็นซามูไร
ส่วนชนชั้นชาวนา จะมีหน้าที่ผลิตอาหารให้กับประชาชนในประเทศเป็นหลัก
ด้วยความที่ชาวนามองว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่า จึงไม่ยอมฝึกงานฝีมือ
หรือฝึกทำธุรกิจเป็นพ่อค้าแต่อย่างใด
ด้วยความที่ชาวนามองว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่า จึงไม่ยอมฝึกงานฝีมือ
หรือฝึกทำธุรกิจเป็นพ่อค้าแต่อย่างใด
ทำให้กลุ่มคนที่มีหัวทางด้านธุรกิจ ก็คือกลุ่มพ่อค้าขายของ ที่ถูกมองว่าไร้เกียรติ กลับมีสกิลต่าง ๆ ที่กลุ่มซามูไร และชาวนาไม่มี
นั่นคือ สกิลการทำธุรกิจ การบริหารเงินทุน การสร้างคอนเน็กชัน และความสามารถในการเจรจาต่อรอง
นั่นคือ สกิลการทำธุรกิจ การบริหารเงินทุน การสร้างคอนเน็กชัน และความสามารถในการเจรจาต่อรอง
ทำให้กลุ่มพ่อค้ากลุ่มนี้ สามารถสะสมเงินทุน และสร้างอาณาจักรธุรกิจให้ใหญ่โต ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติเมจิเสียอีก
ซึ่งจะเห็นได้จากเส้นทางการเติบโตของธุรกิจ 4 กลุ่มใหญ่ไซบัตสึ
- กลุ่ม Mitsui ที่ทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งค้าขาย การผลิตเคมีภัณฑ์ และการเงินรายใหญ่ของญี่ปุ่น
มีจุดเริ่มต้นจากตระกูลมิตซุย บรรพบุรุษของเขาเป็นซามูไรผู้ตกอับ
ทำให้ตระกูลมิตซุย ต้องลดสถานะทางสังคมจากซามูไรผู้ตกอับ มาเป็นพ่อค้า
โดยธุรกิจของ Mitsui ก็เริ่มต้นจากร้านขายผ้าในเมืองมัตสึซากะ
ทำให้ตระกูลมิตซุย ต้องลดสถานะทางสังคมจากซามูไรผู้ตกอับ มาเป็นพ่อค้า
โดยธุรกิจของ Mitsui ก็เริ่มต้นจากร้านขายผ้าในเมืองมัตสึซากะ
- กลุ่ม Yasuda หนึ่งในตระกูลใหญ่ที่วางรากฐานระบบการเงินของญี่ปุ่น
ซึ่งต่อมาธุรกิจธนาคารของเขา ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Mizuho Financial Group
ซึ่งต่อมาธุรกิจธนาคารของเขา ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ Mizuho Financial Group
ต้นกำเนิดของ Yasuda มาจากร้านรับจำนำ และทำธุรกิจธนาคาร ปล่อยกู้ให้กับพ่อค้าและชาวบ้านในสมัยยุคเอโดะ จนกิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบทุนนิยม
ซึ่งกลุ่ม Yasuda ก็เป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานทางการเงินของญี่ปุ่น ในสมัยยุคปฏิวัติเมจิ
- กลุ่ม Sumitomo ที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โลหะ เคมีภัณฑ์ หรืออิเล็กทรอนิกส์
ก็มีจุดเริ่มต้นจากชายที่ชื่อ Masatomo Sumitomo ซึ่งในวัยหนุ่มเคยเป็นนักบวชนิกายเซน ภายในวัดในเกียวโต แต่ภายหลังได้สละอาชีพนักบวช มาเปิดร้านขายยาและขายของเบ็ดเตล็ดเล็ก ๆ ภายในเมือง
ต่อมา Masatomo Sumitomo ผู้เป็นพ่อค้า ได้พบกับญาติของเขา ที่เป็นช่างหลอมทองแดงที่มีฝีมือมาก ๆ
ทั้ง 2 คนจึงทำธุรกิจร่วมกัน โดยย้ายที่ทำการค้าจากเมืองเกียวโต ไปสู่เมืองโอซากา ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยกลุ่มพ่อค้าและช่างฝีมือในญี่ปุ่น
ทำให้ Sumitomo มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอซากา โดยเป็นต้นน้ำให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่กำลังเติบโตในโอซากา นับตั้งแต่สมัยปฏิวัติเมจิ และกลายเป็นหนึ่งในอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
- กลุ่ม Mitsubishi แบรนด์รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมหนัก ที่เรารู้จักกันดี
มีจุดเริ่มต้นจาก Iwasaki Yatarō ซามูไรชนชั้นล่างที่มีฐานะยากจน
เขาถูกส่งไปทำงานเดินเรือให้กับแคว้นโทสะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดโคจิในปัจจุบัน
โดยคอยทำบัญชีและจัดการเดินเรือ
เขาถูกส่งไปทำงานเดินเรือให้กับแคว้นโทสะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจังหวัดโคจิในปัจจุบัน
โดยคอยทำบัญชีและจัดการเดินเรือ
หลังการล่มสลายของชนชั้นนักรบในยุคเมจิ
เขาก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเมจิ ให้ดูแลกิจการเรือของรัฐที่เมืองนางาซากิ
ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำหรับค้าขายกับชาติตะวันตกที่สำคัญของญี่ปุ่น
เขาก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเมจิ ให้ดูแลกิจการเรือของรัฐที่เมืองนางาซากิ
ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านสำหรับค้าขายกับชาติตะวันตกที่สำคัญของญี่ปุ่น
และจากการดูแลกิจการเรือของรัฐ เขาก็ได้ใช้เครือข่าย บวกกับความรู้ที่ได้รับ ไปก่อตั้งบริษัทเรือส่วนตัวชื่อ Tsukumo Shokai ในปี 1870
และบริษัทเดินเรืออย่าง Tsukumo Shokai ก็ได้กลายเป็นรากฐานให้กับธุรกิจอื่น ๆ ของอาณาจักร Mitsubishi ในเวลาต่อมา
จะเห็นได้ว่ากลุ่มบริษัทไซบัตสึทั้ง 4 แห่ง ในยุคก่อนก็มาจากกลุ่มพ่อค้า ที่ถูกมองว่าไม่มีเกียรติ และเป็นชนชั้นล่างของสังคมในยุคเอโดะ
แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เกิดการปฏิวัตินำพาชาติญี่ปุ่นไปสู่ยุคอารยะ
ด้วยแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มพ่อค้าเล็ก ๆ และนักธุรกิจ ก็กลับกลายเป็นยุคโรยราของเหล่าซามูไรผู้มีเกียรติ
ด้วยแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มพ่อค้าเล็ก ๆ และนักธุรกิจ ก็กลับกลายเป็นยุคโรยราของเหล่าซามูไรผู้มีเกียรติ
หากถามว่า อะไรที่ทำให้กลุ่มไซบัตสึ และกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจในญี่ปุ่น เติบโตได้จนถึงทุกวันนี้ ?
ก็ต้องบอกว่ามี 2 เหตุผลที่พอจะอธิบายได้คือ “ถูกที่” และ “ถูกเวลา”
- ถูกที่ คือกลุ่มพ่อค้ากลุ่มนี้ อยู่ในประเทศที่มีโครงสร้างทางสังคมที่เอื้ออำนวย
โดยกลุ่มพ่อค้าและนักประดิษฐ์ สามารถนำสินค้าไปขายให้กับชาวนา หรือกลุ่มซามูไร
ที่ไม่เก่งด้านการค้าขาย หรือการประดิษฐ์เลย
โดยกลุ่มพ่อค้าและนักประดิษฐ์ สามารถนำสินค้าไปขายให้กับชาวนา หรือกลุ่มซามูไร
ที่ไม่เก่งด้านการค้าขาย หรือการประดิษฐ์เลย
ทั้ง 2 กลุ่มนี้ ถือเป็นกลุ่มตลาดขนาดใหญ่ โดยมีสัดส่วนประชากรมากกว่า 80% ของทั้งประเทศ
และกลุ่มซามูไรผู้มีสถานะทางสังคมสูงสุด ก็เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และทำกำไรให้กับกลุ่มพ่อค้า จนกลุ่มพ่อค้า สะสมกำไรจากการค้าขายได้ไว
และกลุ่มซามูไรผู้มีสถานะทางสังคมสูงสุด ก็เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และทำกำไรให้กับกลุ่มพ่อค้า จนกลุ่มพ่อค้า สะสมกำไรจากการค้าขายได้ไว
- ถูกเวลา คือตลอดช่วงเอโดะ หรือก่อนเกิดการปฏิวัติในยุคเมจิ
กลุ่มพ่อค้าก็สะสมกำไรจากการค้าขายจากรุ่นสู่รุ่น จนมีกำลังทรัพย์ที่มากพอ
กลุ่มพ่อค้าก็สะสมกำไรจากการค้าขายจากรุ่นสู่รุ่น จนมีกำลังทรัพย์ที่มากพอ
ก็มาถึงจุดที่ประเทศญี่ปุ่น จำเป็นต้องเปิดรับวิทยาการจากชาติตะวันตก
และนำมาสู่การปฏิรูปเมจิในปี 1868
และนำมาสู่การปฏิรูปเมจิในปี 1868
ญี่ปุ่นต้องการที่จะพัฒนาประเทศ ให้มีความเท่าเทียมกับชาติตะวันตก โดยขับเคลื่อนประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมหนัก ซึ่งจะต้องให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการวางรากฐานพัฒนาประเทศด้วย
จึงทำให้กลุ่มพ่อค้า หรือนักธุรกิจที่มีทุนหนาในยุคนั้น เติบโตขึ้นได้ไวมาก ๆ
โดยเฉพาะกลุ่มไซบัตสึ ที่ประกอบด้วยตระกูลพ่อค้ายักษ์ใหญ่ อย่าง Mitsui, Mitsubishi, Sumitomo และ Yasuda
โดยเฉพาะกลุ่มไซบัตสึ ที่ประกอบด้วยตระกูลพ่อค้ายักษ์ใหญ่ อย่าง Mitsui, Mitsubishi, Sumitomo และ Yasuda
กลุ่มทุนกลุ่มนี้ สามารถปั้นอาณาจักรธุรกิจจนใหญ่โต มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล
สร้างรากฐานทางอุตสาหกรรมและธุรกิจ ให้จักรวรรดิญี่ปุ่นได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
สร้างรากฐานทางอุตสาหกรรมและธุรกิจ ให้จักรวรรดิญี่ปุ่นได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม
รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ได้วางรากฐานทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ได้วางรากฐานทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
โดยสลายกลุ่มผูกขาดไซบัตสึ ด้วยวิธีการยุบบริษัทแม่ ของกลุ่มธุรกิจที่เป็นรากฐานของประเทศ ทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อลดบทบาทของธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ถูกควบคุมโดยครอบครัวผู้ก่อตั้ง
แต่หลังจากสลายกลุ่มไซบัตสึ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น ก็มารวมตัวกันใหม่ในฐานะ “กลุ่มเคเรตสึ”
ซึ่งกลุ่มเคเรตสึ จะเป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจแบบใหม่ โดยเชื่อมโยงกันผ่าน “เครือข่าย” ผู้ถือหุ้น อย่างเช่น
- การให้ธนาคารขนาดใหญ่ มาถือหุ้นแทน และสนับสนุนการเงินให้กับธุรกิจ
- การถือหุ้นไขว้กันไปกันมาของแต่ละบริษัท
- การให้ความร่วมมือกันในด้านอุตสาหกรรม โดยเป็นห่วงโซ่อุปทานในการผลิตสินค้า
- การให้ธนาคารขนาดใหญ่ มาถือหุ้นแทน และสนับสนุนการเงินให้กับธุรกิจ
- การถือหุ้นไขว้กันไปกันมาของแต่ละบริษัท
- การให้ความร่วมมือกันในด้านอุตสาหกรรม โดยเป็นห่วงโซ่อุปทานในการผลิตสินค้า
และไม่ใช่แค่กลุ่มไซบัตสึเท่านั้น ที่มารวมตัวกันกลายเป็นสายสัมพันธ์แบบเคเรตสึ
แต่กลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ หรือช่างฝีมือ ที่ถือกำเนิดขึ้นในสมัยยุคเอโดะ หรือในช่วงหลังจากปฏิวัติเมจิ
เมื่อสามารถปั้นธุรกิจให้ใหญ่โตพอแล้ว
พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมขบวนการ ของกลุ่มเคเรตสึได้
เมื่อสามารถปั้นธุรกิจให้ใหญ่โตพอแล้ว
พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมขบวนการ ของกลุ่มเคเรตสึได้
ซึ่งกลุ่มเคเรตสึใหม่ ๆ ก็คือแบรนด์ดังต่าง ๆ ที่เรารู้จักกันดี
อย่างเช่น Toyota, Honda, Mazda, Seiko, Sony, Panasonic, Toshiba และ Hitachi
อย่างเช่น Toyota, Honda, Mazda, Seiko, Sony, Panasonic, Toshiba และ Hitachi
อีกทั้งกลุ่มเคเรตสึ ก็ได้แตกแขนงเป็นธุรกิจต่าง ๆ ออกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีการพึ่งพาอาศัยกัน
ถือหุ้นไขว้กัน หรือสนับสนุนในด้านการเงิน และหากลุ่มลูกค้าให้กันและกัน เพื่อพยุงกลุ่มบริษัทกลุ่มนี้ให้อยู่รอด
ถือหุ้นไขว้กัน หรือสนับสนุนในด้านการเงิน และหากลุ่มลูกค้าให้กันและกัน เพื่อพยุงกลุ่มบริษัทกลุ่มนี้ให้อยู่รอด
ปัจจุบันกลุ่มเคเรตสึ ยังคงมีเส้นเลือดใหญ่ เป็นบริษัทในกลุ่ม Sogo Shosha
ซึ่งประกอบไปด้วย 5 บริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าไปถือหุ้น นั่นก็คือ Mitsubishi, Mitsui, Sumitomo Corporation, ITOCHU, Marubeni
ซึ่งประกอบไปด้วย 5 บริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าไปถือหุ้น นั่นก็คือ Mitsubishi, Mitsui, Sumitomo Corporation, ITOCHU, Marubeni
และมีอีก 2 บริษัทเพิ่มเติม คือ Toyota Tsusho และ Sojitz Corporation
ซึ่งรายได้ปีล่าสุดของทั้ง 7 บริษัทนี้ รวมกันก็จะอยู่ที่ประมาณ 16.7 ล้านล้านบาท
และนี่ก็คือเรื่องราวของ Sogo Shosha จากพ่อค้าผู้ต่ำต้อยก่อนการปฏิวัติเมจิ
กลายมาเป็นธุรกิจเส้นเลือดใหญ่ ที่ชี้ชะตาเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
กลายมาเป็นธุรกิจเส้นเลือดใหญ่ ที่ชี้ชะตาเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
แล้วยังเป็นหนึ่งในธุรกิจขนาดใหญ่ ที่บริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย..