ปัจจุบันการลงทุนในหุ้น อาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลายคนไปแล้ว เพราะไม่ว่าอาชีพไหน ทำงานอะไร ก็สามารถศึกษาและเริ่มลงทุนได้ด้วยตัวเอง

แต่ข้อจำกัดที่หลาย ๆ คนมี นอกจากเรื่องของเงินทุนที่แตกต่างกันแล้ว ก็คือเรื่องของเวลา

บางคนที่ทำงานประจำ หรือทำธุรกิจ
ก็อาจยุ่งไม่มีเวลา จนรู้สึกกังวลหรือกลัวขาดทุนหนัก
เพราะไม่ว่างที่จะมาคอยติดตาม

หรือบางคนก็รอไม่ไหว ไม่อยากที่จะถือนานหรือบางคนลงทุนสไตล์หุ้นปันผล ซึ่งผลตอบแทนช้ากว่าที่ต้องการ

โดยเฉพาะผู้ที่ใจอยากลงทุนแต่งานรัดตัว จนไม่มีเวลาเปิดดูพอร์ต ไม่กล้าเสี่ยง หรือบางครั้งขาดทุนหนักเพราะเข้าดูไม่ทัน

แต่การลงทุนในทุกวันนี้ สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และตอบโจทย์ทุกคน ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน

ถ้ารู้จักเลือกใช้เครื่องมือให้เป็น อย่างเช่น TFEX
ก็เปิดโอกาสให้สามารถลงทุนและทำกำไรได้
โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอหรือไม่ต้องรอให้หุ้นขึ้นเสมอไป

TFEX ช่วยให้คนเวลาน้อย ยังลงทุนและทำกำไรได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

แม้ว่าหุ้น จะเป็นการลงทุนที่รู้จักกันทั่วไป
แต่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกคน

เพราะการลงทุนในหุ้น หากเป็นสายหุ้นเน้นคุณค่า หรือ VI ก็ต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมากมาย รวมถึงติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจ และผลดำเนินงานของกิจการ

หรือหากเป็นเทรดเดอร์ ที่เน้นวิเคราะห์ด้านเทคนิค ก็ต้องมีเวลาเฝ้าจอ และจับจังหวะ ตามเวลาเปิดปิดของตลาด ซึ่งตลาดหุ้นไทย ก็มักจะคาบเกี่ยวกับช่วงเวลากลางวัน

จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนสายไหน คำว่า “เวลา” ก็คือทรัพยากรสำคัญที่ต้องมีให้กับการลงทุนในหุ้น

ดังนั้น การลงทุนในหุ้น อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเวลามากพอ ที่จะจัดการและรองรับกับความผันผวนของตลาดทุนได้ ซึ่งสุดท้ายอาจขาดทุนเพราะไม่มีเวลาติดตาม หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันกับสภาพตลาดในแต่ละช่วง

แต่ตลาดทุนไทย ก็ยังมีเครื่องมืออย่าง TFEX ที่เข้ามาช่วยให้การลงทุนและทำกำไรเป็นไปได้ แม้จะไม่มีเวลา

TFEX หรือ Thailand Futures Exchange เป็นตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอย่างเป็นทางการของประเทศไทย
ที่เปิดให้ซื้อขายทั้งสัญญา Futures และ Options

โดยผลิตภัณฑ์ในตลาด TFEX จะมีมูลค่าอ้างอิงกับสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น ดัชนี SET50, หุ้นรายตัว, ราคาทองคำ, ราคา Silver หรือสกุลเงินต่าง ๆ

จุดเด่นข้อแรกคือ TFEX สามารถลงทุนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง จึงเสมือนการขยายเวลา เพิ่มโอกาสให้เราทำกำไรได้มากขึ้น โดยไม่ต้องนั่งรอแค่จังหวะขาขึ้นเพียงอย่างเดียว

อีกข้อคือ บางเครื่องมือนอกสามารถทำกำไรได้แล้ว ยังจำกัดการขาดทุนได้ด้วย

อย่างการใช้ SET50 Options ในฝั่ง Long (ฝั่งผู้ซื้อ)
จึงทำให้การลงทุนใน TFEX ต่างจากการลงทุนระยะยาวที่ต้องถือหุ้นหลายปี เพื่อรอปันผลหรือรอให้มูลค่าเพิ่ม

แต่เป็นการเก็งกำไรแบบจำกัดความเสี่ยงได้ เน้นสร้างโอกาสจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นถึงกลาง และมีกรอบความเสี่ยงที่ชัดเจน คือถ้าผิดทาง ก็รู้ว่าจะเสียเงินไม่เกินเท่าไหร่

ซึ่งนี่ถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ของการลงทุน คือ การคุมขาดทุนก่อนคิดกำไร เพราะการอยู่รอดในตลาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำกำไรได้มากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่า พลาดแล้วเสียหายเท่าไหร่

ซึ่งเราสามารถเลือกใช้เครื่องมือและจัดการความเสี่ยงให้เหมาะกับตัวเอง เพื่อให้ยังอยู่ในเกมได้ แม้ในวันที่ตลาดผันผวน

แล้วสถานการณ์แบบไหนหรือเทคนิคใช้ TFEX อย่างไร ?
ถึงจะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา

- ใช้ Futures เพื่อป้องกันพอร์ตหุ้นเสียหาย หากเราคิดว่าตลาดหุ้นกำลังจะเป็นขาลง

สมมติว่าเรามีพอร์ตหุ้นมูลค่า 500,000 บาท และส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่มใหญ่ เช่น หุ้นใน SET50

แต่ช่วงนั้นตลาดเริ่มผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลก ในใจอยากถือหุ้นต่อ เพราะพื้นฐานยังดี แต่ก็กลัวว่าราคาหุ้นจะร่วงในระยะสั้น

ดังนั้น แทนที่จะขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เราสามารถใช้ SET50 Futures มาเสริมพอร์ตหุ้นได้ โดยเปิดสถานะ “Short” เอาไว้

ถ้าตลาดปรับตัวลงจริง มูลค่าพอร์ตหุ้นอาจลดลง แต่เราจะได้กำไรจากสัญญา Futures มาชดเชย

ทำให้ผลกระทบโดยรวมของพอร์ตลดลง ซึ่งนี่แหละคือการ “ป้องกันความเสี่ยงให้พอร์ตหุ้น” (Hedging) ที่คนทำงานประจำหรือคนที่มีหุ้นในพอร์ตแต่ไม่อยากขาย สามารถนำไปใช้ได้จริง

และเมื่อเวลาผ่านไป ตลาดกลับมาฟื้น ก็สามารถปิดสถานะ Short แล้วกลับไปถือหุ้นตามเดิม

โดยไม่ต้องเหนื่อยขายหุ้นในตอนแรกแล้วซื้อกลับใหม่ แถมยังรักษาโอกาสการลงทุนในหุ้นระยะยาวไว้ได้ครบ

- ใช้ Futures เก็งกำไรระยะสั้นช่วงตลาดผันผวน
บางคนไม่ได้มีพอร์ตหุ้นใหญ่ แต่อยากเก็งกำไรระยะสั้นจากทิศทางของตลาด ซึ่ง TFEX ก็เปิดโอกาสให้ทำได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ช่วงการประกาศข่าวตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ที่มักทำให้ตลาดแกว่งแรงในระยะเวลาไม่กี่วัน

นักลงทุนที่มองว่าตลาดน่าจะขึ้นในระยะสั้น ก็สามารถเปิด Long SET50 Futures หรือ Long Call ในสัญญา SET50 Options ไว้ แต่ถ้ามองว่าตลาดจะลง ก็เปิด Short SET50 Futures หรือ Long Put Options เพื่อทำกำไรจากการปรับตัวลงของดัชนีได้

สิ่งที่ต้องมีคือ “แผน” และ “ขอบเขตความเสี่ยง” ที่ชัดเจน เช่น ตั้งใจเทรดเฉพาะช่วงข่าว หรือใช้มาร์จิ้นไม่เกินที่รับได้ และเมื่อราคาวิ่งตามเป้าก็ปิดสถานะ ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอตลอด เพราะ TFEX สามารถตั้งคำสั่งล่วงหน้าได้

แต่ก่อนจะเริ่มเทรด TFEX มี 3 เรื่องที่ควรรู้ไว้ให้ชัด เพราะเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เข้าใจความเสี่ยงและวางแผนได้ถูกต้อง

1. Leverage
ในตลาด TFEX นักลงทุนไม่ต้องวางเงินเต็มจำนวนของมูลค่าสัญญา แต่ใช้เงินเพียงบางส่วนที่เรียกว่า มาร์จิ้น (Margin) เช่น สัญญา SET50 Futures หนึ่งสัญญาอาจมีมูลค่าหลักแสน แต่ใช้เงินค้ำเพียงหลักหมื่น

นั่นหมายความว่า ถ้าเลือกทางถูก จะได้กำไรมากกว่าเงินลงทุนจริงหลายเท่า แต่ถ้าผิดทาง ก็จะขาดทุนมากขึ้นตามสัดส่วนเดียวกัน

Leverage จึงเป็นเหมือน “ดาบสองคม” ที่ต้องเข้าใจและใช้อย่างมีวินัย เพราะแม้มันจะช่วยเพิ่มพลังเงิน ให้เติบโตได้เร็วขึ้น แต่ถ้าไม่รู้จังหวะหรือไม่มีแผน ก็อาจถูกเรียกมาร์จิ้นเพิ่มจนพอร์ตเสียหายได้

2.ระยะเวลาของการถือครอง
สัญญาในตลาด TFEX จะมี วันหมดอายุ (Expiration Date) ต่างจากหุ้นที่ถือได้นานเท่าที่ต้องการ
เช่น สัญญา SET50 Futures ซีรีส์ H, M, U, Z ที่จะหมดอายุทุกสิ้นไตรมาส

ดังนั้น การเปิดสถานะสัญญาใน TFEX จึงเหมาะกับการมองทิศทางระยะสั้นถึงกลาง ไม่ใช่การถือระยะยาว และควรติดตามช่วงใกล้หมดอายุ เพราะราคาอาจผันผวนมากกว่าปกติ

3. การเริ่มซ้อมมือ ก่อนลงสนามจริง
สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มจากบัญชีทดลอง เช่น โปรแกรมซื้อขายจำลอง Click2Win เพื่อทดลองเทรดก่อนใช้เงินจริง เพราะนอกจากจะเป็นการซ้อมส่งคำสั่งเปิดปิดสัญญาให้
คุ้นเคยแล้ว ยังสามารถทดสอบแผนการเทรดที่เราวาง
เอาไว้ ให้มั่นใจก่อนลงสนามจริงได้

จะเห็นว่าในโลกที่เวลาคือทรัพยากรมีค่า ไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลานั่งเฝ้าหน้าจอหุ้นทั้งวัน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานประจำจะต้องอยู่นอกเกมการลงทุนเสมอไป เพราะถ้าเข้าใจเครื่องมืออย่าง TFEX และรู้วิธีบริหารความเสี่ยงให้เหมาะกับตัวเอง ก็สามารถใช้มันเป็นทางเลือกในการสร้างโอกาสทางการเงินได้

สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และควบคุมความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

เพราะสุดท้ายแล้ว การอยู่ในตลาดไม่ได้วัดกันที่ใครเทรดเยอะกว่า แต่วัดกันที่ใครบริหารความเสี่ยงได้ดีกว่า..