บทเรียนจากครอบครัว Gotrocks ยิ่งลงทุน ยิ่งจน เพราะค่าธรรมเนียม

บทเรียนจากครอบครัว Gotrocks ยิ่งลงทุน ยิ่งจน เพราะค่าธรรมเนียม

บทเรียนจากครอบครัว Gotrocks ยิ่งลงทุน ยิ่งจน เพราะค่าธรรมเนียม /โดย ลงทุนแมน
จากสถิติมักพบว่า เกือบ 9 ใน 10 ของผู้จัดการกองทุน ไม่สามารถเอาชนะผลตอบแทนของดัชนีได้
ซึ่งหนึ่งในตัวการสำคัญเลยก็คือ ค่าธรรมเนียมและต้นทุนการซื้อขาย ที่ทำลายผลตอบแทนของนักลงทุน
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ต่อให้ลงทุนในดัชนีตัวเดียวกัน
ถ้ามีค่าธรรมเนียมต่างกัน ผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่เท่ากัน
ค่าธรรมเนียม เป็นฝันร้ายของนักลงทุนได้อย่างไรนั้น
คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยอธิบายเรื่องนี้ ในจดหมายผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway เมื่อปี 2005
ผ่านนิทานเรื่องเล่าของ “ครอบครัวกอตร็อกส์” (Gotrocks)
ครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว แต่กลับค่อย ๆ จนลง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..
ครอบครัวกอตร็อกส์ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวนมาก เป็นเจ้าของหุ้น 100% ของบริษัททุกแห่งในสหรัฐอเมริกา
สมาชิกทุกคนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งจากการเติบโตของกำไรและเงินปันผลที่บริษัทเหล่านั้นจ่ายออกมา
ความมั่งคั่งของพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่พวกเขายังถือครองหุ้นทั้งหมดไว้
ต่อมาปัญหาเริ่มเกิด เมื่อมี “นายหน้า” หรือผู้ช่วย ที่พูดจาเก่ง เข้ามาโน้มน้าวลูกพี่ลูกน้องบางคนในตระกูล
ว่าพวกเขาสามารถทำกำไรได้มากกว่าคนอื่น หากยอมขายหุ้นบางส่วน และซื้อหุ้นตัวอื่นแทน โดยผู้ช่วยเหลือเหล่านี้จะคิดค่านายหน้า (Commission)
แต่ความมั่งคั่งโดยรวมของครอบครัว กลับเริ่มเติบโตช้าลง
เพราะผลตอบแทนส่วนหนึ่งถูกหักไปจ่ายให้กับนายหน้า
นอกจากนี้ สมาชิกยังต้องเสียภาษีจากกำไรส่วนทุน (Capital Gains) ที่เกิดจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นกันไปมา ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งลดลงไปอีก
และวงจรอุบาทว์ ก็ดำเนินต่อไป..
เมื่อสมาชิกที่คิดว่าตนฉลาด รู้ตัวว่าผลตอบแทนลดลง แทนที่จะหยุด พวกเขากลับไปจ้าง “ผู้จัดการการเงิน” เข้ามาช่วยเลือกหุ้น ซึ่งถือเป็นผู้ช่วยเหลือชุดที่สอง และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก..
การซื้อขายหุ้นก็ยิ่งดุเดือดขึ้น ทำให้เสียค่าคอมมิชชันและภาษีมากขึ้น
เมื่อผลตอบแทนยิ่งแย่ลง พวกเขาก็ยังไม่หยุด แต่กลับไปจ้าง “ที่ปรึกษาการลงทุน” เพื่อมาช่วยคัดเลือกผู้จัดการการเงินที่ดีที่สุดอีกทอดหนึ่ง..

ผลลัพธ์คือ ส่วนแบ่งความมั่งคั่งของครอบครัว ลดลงจากเดิมที่เคยได้ 100% เหลือเพียงประมาณ 60% ของผลตอบแทนที่บริษัทจดทะเบียนทำได้จริง
ในที่สุด ลุงผู้ชาญฉลาดของตระกูล ได้ให้คำแนะนำสั้น ๆ ว่า “ไล่ผู้ช่วยเหลือพวกนี้ออกไปให้หมด” แล้วกลับไปสู่วิธีการเดิมคือ ถือหุ้นของบริษัททั้งหมดในสหรัฐฯ โดยไม่ต้องทำอะไร ครอบครัวก็กลับมาได้รับผลตอบแทน 100% ที่ภาคธุรกิจสร้างขึ้นมาอีกครั้ง
ซึ่งนี่คือหลักการทำงานของ “กองทุนดัชนี” (Index Fund) นั่นเอง
และแล้วครอบครัวกอตร็อกส์ ก็อยู่กันอย่างมีความสุข เรื่องราวก็จบลงเพียงเท่านี้
บทเรียนจากครอบครัวกอตร็อกส์ ได้บอกเราว่า
สำหรับนักลงทุนโดยรวม เพื่อที่จะเพลิดเพลินไปกับผลตอบแทนที่ออกดอกออกผลจากธุรกิจในระยะยาว
นักลงทุนที่ฉลาดจะลดค่าใช้จ่ายของตัวกลางทางการเงินที่ไม่จำเป็นให้เหลือน้อยที่สุด
และสำหรับนักลงทุนรายย่อย ที่อาจไม่ค่อยมีเวลาศึกษาการเลือกหุ้นเองอย่างจริงจัง
การลงทุนในกองทุนอิงดัชนี ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
และนั่งทับมืออยู่เฉย ๆ แล้วลงทุนในระยะยาว อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เพราะยิ่งซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อยเท่าไร นักลงทุนก็จะถูกค่าธรรมเนียมและภาษี กัดกินผลตอบแทนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าพูดถึงการลงทุนในดัชนี แม้จะอ้างอิงสินทรัพย์ที่ลงทุนเหมือนกัน แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็อาจต่างกันราวฟ้ากับเหว
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
เพราะแม้จะเป็นกองทุนอิงดัชนี ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำอยู่แล้ว
ทว่าแต่ละกองทุน ก็ยังมีค่าธรรมเนียมแตกต่างกันออกไปอยู่ดี
รู้ไหมว่า ค่าธรรมเนียมที่ต่างกันเพียงหลัก “ทศนิยม” ก็สามารถทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนน้อยลง หลักแสน หลักล้านบาทได้
เช่น สมมติเราลงทุนกองทุนดัชนี S&P 500 ที่เหมือนกัน 2 กอง ซึ่งในกรณีนี้คือ กองทุน A และกองทุน B
ซึ่งข้อแตกต่างคือ กองทุน A คิดต้นทุนปีละ 0.49%
ในขณะที่กองทุน B มีต้นทุนอยู่ที่ 1% ต่อปี
โดย DCA เดือนละ 1,000 บาท และมีผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี ลงทุนเป็นระยะเวลา 35 ปี
เวลาผ่านไป 35 ปี ไวเหมือนโกหก
นักลงทุนที่ลงทุนกับกองทุน A จะได้เงินประมาณ 3,031,517 บาท
แต่นักลงทุนที่ลงทุนกับกองทุน B จะได้เงิน 2,693,645 บาท
เพียงแค่ค่าธรรมเนียมต่างกัน 0.51% ต่อปี ทำให้เงินหายไปราว 337,872 บาท
และถ้ายิ่งลงทุนด้วยจำนวนเงินมากกว่านี้ เช่น 3,000 บาทต่อเดือน ผลลัพธ์ก็ยิ่งห่างกันออกไป
พูดง่าย ๆ ค่าธรรมเนียมเล็ก ๆ ถ้าสะสมไปหลายสิบปี
สามารถทำให้ผลตอบแทนห่างกันเป็นหลักแสน หลักล้านบาทได้เลยทีเดียว
นี่คือเหตุผลที่คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงเน้นนักเน้นหนาว่า ต้นทุนคือสิ่งที่นักลงทุนควบคุมได้ และมันสำคัญกว่าที่คิดมาก
สุดท้าย เรื่องทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ ต้นทุนค่าธรรมเนียม เวลาเราจะลงทุนในกองทุนอะไรก็ตาม ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามไป
เพราะแม้จะต่างกันเล็กน้อยเพียงหลักทศนิยม
แต่ในระยะยาว ก็สร้างความแตกต่างที่ใหญ่กว่าที่คิดได้..
—----------------------
กองทุน RMF อิงดัชนี S&P 500 และ NASDAQ 100 ชนิด UNHEDGED ครั้งแรก ค่าจัดการพิเศษ 0.49%* ซื้อได้เฉพาะที่แอป WealthX และ บลจ.ทาลิส เท่านั้น
กองทุนข้างต้นเป็น Feeder Fund ซึ่งลงทุนในกองทุนรวมที่บริหารจัดการ
- TLUS500RMF ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Core S&P 500 ETF
- TLUSNDQRMF ลงทุนในกองทุนหลัก Invesco NASDAQ 100 ETF
*รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดและเริ่มต้นลงทุนได้ที่แอป WealthX โดย บล.เวลท์เอกซ์ บริษัทในกลุ่ม LTMH และ ลงทุนแมน โหลดแอปที่ Wealthx.co/getapp โทร. 02-6669477 LINE ID: @wealthx และ บลจ.ทาลิส โทร. 02-0150215, 02-0150216, 02-0150222
กองทุนรวมบางกองทุน ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
กองทุนเหล่านี้มีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์และจากอัตราแลกเปลี่ยน จากการลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศ
กองทุนรวมเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF
กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีของกรมสรรพากร
ผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และจะต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับภายในกำหนดเวลา นอกจากนี้จะต้องชำระเงินเพิ่ม และ/หรือเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon