
แจกสูตร “คำนวณเบี้ยประกัน” ที่เหมาะสม ไว้เป็นไอเดียในการตัดสินใจเลือกซื้อประกัน
แจกสูตร “คำนวณเบี้ยประกัน” ที่เหมาะสม ไว้เป็นไอเดียในการตัดสินใจเลือกซื้อประกัน /โดย ลงทุนแมน
นอกจากด้านการเงินแล้ว “สุขภาพ” ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องวางแผน
เพื่อป้องกันไม่ให้เงินล้านของเรา ที่จะเอาไปใช้เกษียณสำราญ ต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล
เพื่อป้องกันไม่ให้เงินล้านของเรา ที่จะเอาไปใช้เกษียณสำราญ ต้องหมดไปกับค่ารักษาพยาบาล
ทั้งหมดนี้ จึงเป็นคำพูดสุดคลาสสิก ที่ฝ่ายขายของบริษัทประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ มักจะพูดกับเราอยู่บ่อย ๆ
แล้วถ้าเราตัดสินใจที่จะเลือกซื้อประกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ประกันตัวไหนคุ้มค่าสำหรับเรา ?
ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มีวิธีการคำนวณ เพื่อประเมินเบี้ยประกันคร่าว ๆ
แล้วมีวิธีไหนบ้าง ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แล้วมีวิธีไหนบ้าง ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หนึ่งในวิธีที่จะพิจารณาเลือกซื้อประกัน สำหรับคนทั่วไป
ก็จะมี 2 วิธีง่าย ๆ ไว้คิดเพื่อพิจารณาความคุ้มค่า
ก็จะมี 2 วิธีง่าย ๆ ไว้คิดเพื่อพิจารณาความคุ้มค่า
วิธีที่ 1 คือ Protection Premium Ratio หรือ PPR
เป็นอัตราส่วนการคำนวณความคุ้มครองต่อเบี้ยประกัน
เป็นอัตราส่วนการคำนวณความคุ้มครองต่อเบี้ยประกัน
มีสูตรง่าย ๆ
PPR = วงเงินคุ้มครอง / เบี้ยประกันรายปี
PPR = วงเงินคุ้มครอง / เบี้ยประกันรายปี
ตัวอย่างการคำนวณ สมมติว่าเรากำลังทำประกันชีวิต
ด้วยทุนประกัน 500,000 บาท ตั้งแต่อายุ 31 ปี
โดยผู้เอาประกัน ต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 5,000 บาท ตลอดระยะเวลา 20 ปี
ด้วยทุนประกัน 500,000 บาท ตั้งแต่อายุ 31 ปี
โดยผู้เอาประกัน ต้องจ่ายเบี้ยประกันปีละ 5,000 บาท ตลอดระยะเวลา 20 ปี
เมื่อเป็นแบบนี้ PPR ก็จะเท่ากับทุนประกัน หารด้วยเบี้ยประกันรายปี
เท่ากับ 500,000 บาท / 5,000 บาท หรือคิดเป็น 100 เท่า
เท่ากับ 500,000 บาท / 5,000 บาท หรือคิดเป็น 100 เท่า
นั่นหมายความว่า เรากำลังจะจ่ายเงิน 1 บาทต่อปี
เพื่อซื้อความคุ้มครองในชีวิตมูลค่า 100 บาทนั่นเอง
เพื่อซื้อความคุ้มครองในชีวิตมูลค่า 100 บาทนั่นเอง
วิธีที่ 2 คือ คิดจากมูลค่าคาดหวัง หรือ Expected Value
ซึ่งเป็นมูลค่า ที่คิดจากความน่าจะเป็น เมื่อเราจะเจอเหตุการณ์ร้ายแรง
คูณผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ เมื่อเจอเข้ากับเหตุการณ์ร้ายแรงตามเงื่อนไข
ซึ่งเป็นมูลค่า ที่คิดจากความน่าจะเป็น เมื่อเราจะเจอเหตุการณ์ร้ายแรง
คูณผลประโยชน์ที่เราจะได้รับ เมื่อเจอเข้ากับเหตุการณ์ร้ายแรงตามเงื่อนไข
อย่างสมมติว่า เราทำประกันโรคร้าย อย่างโรคมะเร็ง ซึ่งเป็นประกันที่เราต้องจ่ายทุกปี
โดยสมมติว่าตอนนี้เรามีอายุ 30 ปี
และโอกาสที่คนอายุเท่านี้ จะพบโรคมะเร็งอยู่ที่ 0.2% หรือจะพบเจอ 200 คนต่อประชากร 100,000 คน
และโอกาสที่คนอายุเท่านี้ จะพบโรคมะเร็งอยู่ที่ 0.2% หรือจะพบเจอ 200 คนต่อประชากร 100,000 คน
และกรมธรรม์ที่เราซื้อ คุ้มครองโรคมะเร็งด้วยวงเงินสูงสุดที่ 2,000,000 บาท
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่ามูลค่าคาดหวัง หรือ Expected Value ในการทำประกันชนิดนี้
ก็จะอยู่ที่เฉลี่ย 0.2% x 2,000,000 บาท หรือเท่ากับ 4,000 บาท
ก็จะอยู่ที่เฉลี่ย 0.2% x 2,000,000 บาท หรือเท่ากับ 4,000 บาท
หรือเท่ากับว่า ถ้าเราทำประกันคุ้มครองโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง ตอนอายุ 30 ปี
ด้วยเบี้ยประกันรายปีที่น้อยกว่า 4,000 บาท ก็จะถือว่าเบี้ยประกันของกรมธรรม์นี้ มีความคุ้มค่านั่นเอง
ด้วยเบี้ยประกันรายปีที่น้อยกว่า 4,000 บาท ก็จะถือว่าเบี้ยประกันของกรมธรรม์นี้ มีความคุ้มค่านั่นเอง
แต่ก็ต้องบอกว่า ปกติแล้วประกันต่าง ๆ มักจะให้เบี้ยในเรตที่สูงกว่า Expected Value ในช่วงแรก
เพราะเวลาบริษัทประกันส่วนใหญ่จะออกกรมธรรม์ และคิดเบี้ยประกันออกมา
บริษัทประกันนั้น ก็จะเผื่อต้นทุนค่าใช้จ่ายหลาย ๆ อย่างเอาไว้แล้ว
บริษัทประกันนั้น ก็จะเผื่อต้นทุนค่าใช้จ่ายหลาย ๆ อย่างเอาไว้แล้ว
อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับทำการตลาด ค่าคอมมิชชันสำหรับเซลส์ หรือค่าใช้จ่ายในการบริหารต่าง ๆ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บริษัทประกัน จะคิดค่าเบี้ยประกันรายปี ที่มากขึ้นไปกว่าค่า Expected Value ที่คำนวณมา
ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่บริษัทประกัน จะคิดค่าเบี้ยประกันรายปี ที่มากขึ้นไปกว่าค่า Expected Value ที่คำนวณมา
ดังนั้น ถ้าเรากำลังตัดสินใจวางแผนอนาคต ด้วยการซื้อประกัน สิ่งสำคัญที่เราต้องดูคร่าว ๆ ก็คือ
1. ทุก ๆ บาทของเรา จะคุ้มครองชีวิตและสุขภาพของเรา คิดเป็นมูลค่าเท่าไร (PPR)
2. เช็กความน่าจะเป็นของเรา ว่ามีความน่าจะเป็นที่จะเกิดโรคร้ายมากแค่ไหน
โดยมี Expected Value เป็นอีกหนึ่งไกด์ไลน์ สำหรับคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสม
2. เช็กความน่าจะเป็นของเรา ว่ามีความน่าจะเป็นที่จะเกิดโรคร้ายมากแค่ไหน
โดยมี Expected Value เป็นอีกหนึ่งไกด์ไลน์ สำหรับคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ควรเปรียบเทียบกรมธรรม์จากการคำนวณเบี้ย ที่เราต้องจ่ายเพียงอย่างเดียว
แต่ในการเลือกซื้อประกัน เราจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ในแง่ของคุณภาพของกรมธรรม์ด้วย อย่าง
เงื่อนไขยิบย่อยต่าง ๆ เช่น
เงื่อนไขยิบย่อยต่าง ๆ เช่น
- ประกันโรคร้ายที่คุ้มครองเพียงบางโรค แต่กรมธรรม์หลาย ๆ เล่มกลับระบุไม่ชัดเจน
- ค่ารักษาพยาบาล คุ้มครองค่าตรวจ หรือค่ารักษามะเร็ง แต่กลับไม่คุ้มครองค่าเวชภัณฑ์สิ้นเปลืองสำหรับการรักษาโรค
- ระยะเวลาในการพิจารณาสินไหม ที่แต่ละบริษัทมักจะไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าผู้ป่วยสำรองจ่ายไปก่อน แล้วยื่นเคลมทีหลัง ก็อาจจะมีผลต่อสภาพคล่องทางด้านการเงินของผู้ป่วย
ซึ่งวันนี้ ลงทุนแมน ก็กำลังมีโครงการ ลงทุนแมน PROTECT
โดยเป็นโครงการที่ลงทุนแมน ร่วมมือกับ TISCO Insure
คัดประกันที่ “เข้าใจง่าย คุ้มค่า และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่”
โดยเป็นโครงการที่ลงทุนแมน ร่วมมือกับ TISCO Insure
คัดประกันที่ “เข้าใจง่าย คุ้มค่า และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่”
โดยหนึ่งในนั้นก็คือ “ประกันมะเร็งเงินล้าน” รับประกันโดย กรุงเทพประกันภัย
ที่จะเข้ามาแก้ Pain Point ในเรื่องของเงื่อนไขการรับประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้าย ที่ค่อนข้างมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน และอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการทำความเข้าใจ
ที่จะเข้ามาแก้ Pain Point ในเรื่องของเงื่อนไขการรับประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้าย ที่ค่อนข้างมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน และอาจต้องใช้เวลาหลายวันในการทำความเข้าใจ
โดยประกันมะเร็งเงินล้าน ลงทุนแมน PROTECT by TISCO Insure
จะมีแผนความคุ้มครองทั้งหมด 2 แผนหลัก ๆ ด้วยกัน นั่นคือ
จะมีแผนความคุ้มครองทั้งหมด 2 แผนหลัก ๆ ด้วยกัน นั่นคือ
- แผน 1 สำหรับผู้ที่มีอายุไม่เกิน 34 ปี จะมีค่าเบี้ยประกันอยู่ที่ 4,920 บาท
ซื้อแผนนี้ จะคุ้มครองถึง 3 อย่างด้วยกัน นั่นคือ
1. จ่ายทันที 500,000 บาท เมื่อตรวจเจอมะเร็ง
2. จ่ายเพิ่มเติม เมื่อได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นมะเร็งเฉพาะเพศ อีก 500,000 บาท เพิ่มเติมจากข้อ 1
(รายละเอียดดูได้จากลิงก์ด้านล่าง)
(รายละเอียดดูได้จากลิงก์ด้านล่าง)
3. จ่ายค่ารักษาพยาบาล โดยครอบคลุมทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด การฉายแสง และครอบคลุมไปถึงค่าเวชภัณฑ์สิ้นเปลืองต่าง ๆ โดยจะจ่ายตามจริงด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท
- แผน 2 สำหรับผู้ที่มีอายุไม่เกิน 34 ปี จะมีค่าเบี้ยประกันอยู่ที่ 5,880 บาท
ซื้อแผนนี้ จะคุ้มครองเหมือนกับแผนแรกทุกอย่าง
เพียงแต่แผน 2 จะเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล (ตามข้อ 3) จาก 500,000 บาท เป็น 1,000,000 บาท
เพียงแต่แผน 2 จะเพิ่มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล (ตามข้อ 3) จาก 500,000 บาท เป็น 1,000,000 บาท
แล้วประกันมะเร็งเงินล้าน ลงทุนแมน PROTECT by TISCO Insure นั้นมีจุดเด่นอะไร
หลายคนก็คงทราบดีว่า เวลาทำประกันโรคร้ายหรือประกันสุขภาพ
บริษัทประกันหลาย ๆ เจ้า มักจะเสนอเบี้ยประกันรายปีที่ถูก ในช่วงที่ผู้เอาประกันอายุยังน้อย
และเบี้ยประกัน ก็จะปรับขึ้นตามอายุของผู้เอาประกันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
บริษัทประกันหลาย ๆ เจ้า มักจะเสนอเบี้ยประกันรายปีที่ถูก ในช่วงที่ผู้เอาประกันอายุยังน้อย
และเบี้ยประกัน ก็จะปรับขึ้นตามอายุของผู้เอาประกันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่แผนประกันมะเร็งเงินล้าน จะตอบโจทย์ผู้ที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ ตรงที่แผนนี้ จะให้เราจ่ายเบี้ยประกันคงที่ไปตลอด
คือแผน 1 จ่ายปีละ 4,920 บาทไปเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 60 ปี
และแผน 2 จ่ายปีละ 5,880 บาทไปเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 60 ปี เช่นเดียวกัน
และแผน 2 จ่ายปีละ 5,880 บาทไปเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 60 ปี เช่นเดียวกัน
โดยเบี้ยประกันรายปี ก็จะไม่มีการปรับขึ้นตามอายุของผู้เอาประกัน เหมือนกับกรมธรรม์ประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้ายทั่วไปนั่นเอง
นั่นจึงเป็นเหตุผล ที่ทำให้ประกันมะเร็งเงินล้าน ลงทุนแมน PROTECT by TISCO Insure
เป็นแผนคุ้มครองมะเร็ง ที่เหมาะกับคนเพิ่งทำงาน หรือคนวัยทำงานที่อยู่ในช่วงอายุ 22-34 ปี เป็นอย่างมาก
โดยจ่ายเริ่มต้นเพียงวันละ 13.5 บาทตลอดสัญญา
เป็นแผนคุ้มครองมะเร็ง ที่เหมาะกับคนเพิ่งทำงาน หรือคนวัยทำงานที่อยู่ในช่วงอายุ 22-34 ปี เป็นอย่างมาก
โดยจ่ายเริ่มต้นเพียงวันละ 13.5 บาทตลอดสัญญา
นอกจากนี้ การทำประกันมะเร็งเงินล้าน ก็ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีส่วนตัวได้ด้วย
โดยสามารถนำไปใช้ลดหย่อนประกันสุขภาพ ได้สูงสุด 25,000 บาท
โดยสามารถนำไปใช้ลดหย่อนประกันสุขภาพ ได้สูงสุด 25,000 บาท
และเพื่อจะดูว่าเบี้ยประกันราคานี้ คุ้มค่าหรือไม่ ? เราลองมาคำนวณกันดู
คำนวณด้วยวิธี PRR หรือ Protection Premium Ratio
- แผน 1 มีค่าเบี้ยประกันต่อปีเริ่มต้นที่ 4,920 บาท
มี PPR = วงเงินคุ้มครองสูงสุด / เบี้ยประกันรายปี
หรือเท่ากับ 1,500,000 บาท / 4,920 บาท หรือเท่ากับ 304.9 เท่า
หรือทุก ๆ 1 บาทต่อปี ที่เราจ่ายไป จะครอบคลุมค่าประกันสูงสุดอยู่ที่ 304.9 บาท
หรือเท่ากับ 1,500,000 บาท / 4,920 บาท หรือเท่ากับ 304.9 เท่า
หรือทุก ๆ 1 บาทต่อปี ที่เราจ่ายไป จะครอบคลุมค่าประกันสูงสุดอยู่ที่ 304.9 บาท
- แผน 2 ที่มีค่าเบี้ยประกันต่อปีเริ่มต้นที่ 5,880 บาท
มี PPR = วงเงินคุ้มครองสูงสุด / เบี้ยประกันรายปี
หรือเท่ากับ 2,000,000 บาท / 5,880 บาท หรือเท่ากับ 340.1 เท่า
หรือทุก ๆ 1 บาทต่อปี ที่เราจ่ายไป จะครอบคลุมค่าประกันสูงสุดอยู่ที่ 340.1 บาท
หรือเท่ากับ 2,000,000 บาท / 5,880 บาท หรือเท่ากับ 340.1 เท่า
หรือทุก ๆ 1 บาทต่อปี ที่เราจ่ายไป จะครอบคลุมค่าประกันสูงสุดอยู่ที่ 340.1 บาท
คำนวณโดยใช้ Expected Value หรือ EV
ก่อนคำนวณ Expected Value เรามาดูโอกาสที่คนเราจะเป็นโรคมะเร็งในแต่ละช่วงชีวิตกันก่อน
อ้างอิงจาก Surveillance, Epidemiology, and End Results Program หรือ SEER
ซึ่งเป็นโปรแกรมด้านสถิติและวิจัยมะเร็ง ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NCI
ซึ่งเป็นโปรแกรมด้านสถิติและวิจัยมะเร็ง ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ NCI
ซึ่ง SEER มีโมเดลที่สามารถคำนวณโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งในแต่ละช่วงอายุ ของประชากรได้ละเอียดมากที่สุด
สถิติจาก SEER ได้ระบุไว้ว่า
- ช่วงอายุ 25-34 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 0.2%
- ช่วงอายุ 35-44 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 0.7%
- ช่วงอายุ 45-54 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 2%
- ช่วงอายุ 55-60 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 5%
- ช่วงอายุ 25-34 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 0.2%
- ช่วงอายุ 35-44 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 0.7%
- ช่วงอายุ 45-54 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 2%
- ช่วงอายุ 55-60 ปี จะมีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเฉลี่ย 5%
แผน 1 มีค่าเบี้ยประกันต่อปีเริ่มต้นที่ 4,920 บาท (ซื้อในช่วงอายุไม่เกิน 34 ปี)
และมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 1,500,000 บาท
และมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 1,500,000 บาท
เอามาคูณความน่าจะเป็นในการเกิดโรคมะเร็งตามช่วงอายุ จะได้ EV ของ
- ช่วงอายุ 25-34 ปี อยู่ที่ 3,000 บาท
- ช่วงอายุ 35-44 ปี อยู่ที่ 10,500 บาท
- ช่วงอายุ 45-54 ปี อยู่ที่ 30,000 บาท
- ช่วงอายุ 55-60 ปี อยู่ที่ 75,000 บาท
- ช่วงอายุ 25-34 ปี อยู่ที่ 3,000 บาท
- ช่วงอายุ 35-44 ปี อยู่ที่ 10,500 บาท
- ช่วงอายุ 45-54 ปี อยู่ที่ 30,000 บาท
- ช่วงอายุ 55-60 ปี อยู่ที่ 75,000 บาท
แผน 2 มีค่าเบี้ยประกันต่อปีเริ่มต้นที่ 5,880 บาท (ซื้อในช่วงอายุไม่เกิน 34 ปี)
และมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 2,000,000 บาท
และมีวงเงินคุ้มครองสูงสุด 2,000,000 บาท
เอามาคูณความน่าจะเป็นในการเกิดโรคมะเร็งตามช่วงอายุ จะได้ EV ของ
- ช่วงอายุ 25-34 ปี อยู่ที่ 4,000 บาท
- ช่วงอายุ 35-44 ปี อยู่ที่ 14,000 บาท
- ช่วงอายุ 45-54 ปี อยู่ที่ 40,000 บาท
- ช่วงอายุ 55-60 ปี อยู่ที่ 100,000 บาท
- ช่วงอายุ 25-34 ปี อยู่ที่ 4,000 บาท
- ช่วงอายุ 35-44 ปี อยู่ที่ 14,000 บาท
- ช่วงอายุ 45-54 ปี อยู่ที่ 40,000 บาท
- ช่วงอายุ 55-60 ปี อยู่ที่ 100,000 บาท
จากการคำนวณค่า EV เราพอจะมองเห็นว่า
ถ้าเราเริ่มต้นวางแผนทำประกันมะเร็งเงินล้าน ตั้งแต่อายุก่อน 34 ปี
ถ้าเราเริ่มต้นวางแผนทำประกันมะเร็งเงินล้าน ตั้งแต่อายุก่อน 34 ปี
- ถ้าเราเลือกแผน 1 ด้วยเบี้ยประกันปีละ 4,920 บาท
- หรือเลือกแผน 2 ด้วยเบี้ยประกันปีละ 5,880 บาท
- หรือเลือกแผน 2 ด้วยเบี้ยประกันปีละ 5,880 บาท
พอเราเข้าสู่ช่วงอายุ 35 ปี แผนประกันที่เราทำ ก็จะคุ้มค่ามากขึ้น
เพราะ EV หรือค่าความเสี่ยงที่เราเป็นมะเร็ง เมื่อเปรียบเทียบเป็นตัวเงิน
ก็จะสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ ในขณะที่เบี้ยประกันที่เราจ่ายรายปีนั้น คงที่จนถึงอายุ 60 ปี
ก็จะสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ ในขณะที่เบี้ยประกันที่เราจ่ายรายปีนั้น คงที่จนถึงอายุ 60 ปี
ซึ่งถ้าเราไม่ได้ตัดสินใจซื้อประกันในช่วงอายุก่อน 34 ปี
แต่ไปเริ่มต้นซื้อประกันแผน 1 หรือ แผน 2 ในช่วงอายุมากกว่านี้
เบี้ยประกันก็จะปรับสูงขึ้น ตามความน่าจะเป็นที่เราจะเกิดโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง เหมือนกับประกันทั่ว ๆ ไป
แต่ไปเริ่มต้นซื้อประกันแผน 1 หรือ แผน 2 ในช่วงอายุมากกว่านี้
เบี้ยประกันก็จะปรับสูงขึ้น ตามความน่าจะเป็นที่เราจะเกิดโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง เหมือนกับประกันทั่ว ๆ ไป
แผน 1 วงเงินคุ้มครองสูงสุด 1,500,000 บาท
- ซื้อตอนอายุ 35-44 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 9,960 บาท
- ซื้อตอนอายุ 45-54 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 18,000 บาท
- ซื้อตอนอายุ 55-60 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 26,040 บาท
- ซื้อตอนอายุ 35-44 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 9,960 บาท
- ซื้อตอนอายุ 45-54 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 18,000 บาท
- ซื้อตอนอายุ 55-60 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 26,040 บาท
แผน 2 วงเงินคุ้มครองสูงสุด 2,000,000 บาท
- ซื้อตอนอายุ 35-44 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 11,760 บาท
- ซื้อตอนอายุ 45-54 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 21,360 บาท
- ซื้อตอนอายุ 55-60 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 30,960 บาท
- ซื้อตอนอายุ 35-44 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 11,760 บาท
- ซื้อตอนอายุ 45-54 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 21,360 บาท
- ซื้อตอนอายุ 55-60 ปี เบี้ยประกันภัยต่อปีอยู่ที่ 30,960 บาท
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องบอกว่าการวางแผนเลือกซื้อประกัน
เราไม่ควรจะดูแค่ตัวเลขทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว
เราไม่ควรจะดูแค่ตัวเลขทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว
แต่ถ้าเราวางแผน เราก็ควรจะพิจารณาถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ของการรับประกัน
รวมถึงเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพของเราด้วย..
รวมถึงเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพของเราด้วย..
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นสรุปของเบี้ยประกัน ลงทุนแมน PROTECT ที่ได้ร่วมมือกับ TISCO Insure
เพื่อเสนอแผนประกันโรคร้ายแรง อย่างโรคมะเร็ง ด้วยอัตราเบี้ยประกันที่คุ้มค่า
และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
เพื่อเสนอแผนประกันโรคร้ายแรง อย่างโรคมะเร็ง ด้วยอัตราเบี้ยประกันที่คุ้มค่า
และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
เพื่อให้คนรุ่นใหม่ ได้วางแผนทางด้านการเงิน และสุขภาพอย่างรอบคอบ แถมยังใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้