ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ การมี “ประภาคารทางการลงทุน” สำคัญแค่ไหน ?

ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ การมี “ประภาคารทางการลงทุน” สำคัญแค่ไหน ?

ท่ามกลางพายุเศรษฐกิจ การมี “ประภาคารทางการลงทุน” สำคัญแค่ไหน ? / ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง x SCB WEALTH 

กำลังก้าวเข้าสู่ ปี 2569 นับเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความผันผวน ทั้งสงครามการค้า ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังไม่คลี่คลาย ทั้งตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก ไปจนถึงความตึงเครียดล่าสุดระหว่างญี่ปุ่น-จีน ทำให้โลกอยู่ในสภาวะที่ “เปราะบาง” มากขึ้นทุกวัน 

ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยี กระแส AI ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง จนหลายคนตั้งคำถามว่าเราเข้าใกล้ภาวะ AI Bubble หรือยัง แต่อีกมุมหนึ่งกลับมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเมกะเทรนด์ระลอกใหม่ โดยเฉพาะเมื่อผลประกอบการของบริษัทระดับโลกอย่าง NVIDIA ยังเติบโตเหนือคาดต่อเนื่อง 

คำถามคือ เมื่อโลกการลงทุนเต็มไปด้วยความผันผวน นักลงทุนควรมองหา “โอกาสที่ซ่อนอยู่” ในความไม่แน่นอนได้อย่างไร เพื่อไม่ให้พลาดจังหวะสำคัญของเกมลงทุนในครั้งนี้ ?

SCB WEALTH จึงมุ่งหาคำตอบเหล่านี้มาให้นักลงทุนอย่างรอบด้าน เพื่อคลายความกังวล และเดินหน้าฝ่าความผันผวนได้อย่างมั่นใจ โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับประเทศ และระดับโลก มาร่วม “ถอดรหัสพายุรอบนี้” ผ่านงานสัมมนา SCB WEALTH : Holistic Wealth Forum 2025 ภายใต้ธีม Storm Shift

แล้วงานสัมมนานี้ มีประเด็นน่าสนใจอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ “ครบ จบ ในโพสต์เดียว”

โลกวันนี้ไม่อาจรอให้พายุสงบ แต่ทุกคนต้องปรับมุมมองและกลยุทธ์ เพื่อให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ มองภาพรวมปีนี้ว่า
ตลาดโลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนหลายด้านพร้อมกัน ทั้งเศรษฐกิจที่เหวี่ยงแรง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่สู่ยุค AI 

ความผันผวนรอบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น New Normal ของโลกการเงิน ทำให้การบริหารความมั่งคั่งต้องก้าวไปไกลกว่าแค่ปรับน้ำหนักพอร์ตขึ้นลง และต้องมองด้วยกรอบคิดที่รอบด้านกว่าเดิม เพื่อรักษา ขยาย และส่งต่อความมั่งคั่งได้อย่างมั่นคงในทุกภาวะตลาด 

โดยงานสัมมนานี้ ถูกออกแบบบน 3 แกนคิดสำคัญคือ
1. Illuminate
ฉายภาพทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่กำลังก่อตัว ตั้งแต่คลื่นการเติบโตของ AI ไปจนถึงสัญญาณเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่นิ่ง
2. Navigate 
เมื่อเห็นภาพใหญ่ชัดเจน การเลือกเส้นทางที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นธีม AI เมกะเทรนด์โครงสร้างพื้นฐานใหม่ หรือการเสริมสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำในช่วงความเสี่ยงสูง
3. Anchor 
เจาะลึกการรักษาเสถียรภาพของธุรกิจครอบครัว และการป้องกันความขัดแย้งภายใน โดยการใช้โครงสร้าง Family Office หรือธรรมนูญครอบครัว เพื่อการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างราบรื่น มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งหมดนี้สะท้อนบทบาทของ SCB WEALTH ในฐานะ Guiding Lighthouse หรือ “ประภาคารนำทาง” ที่ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นทิศทางได้ชัดเจน แม้ตลาดจะหมุนเร็วเพียงใด
คุณกฤษณ์ เชื่อว่า องค์ความรู้และกรอบความคิดที่ถ่ายทอดในงานสัมมนาครั้งนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญให้นักลงทุนเตรียมรับมือในปี 2569 ได้อย่างมั่นใจและรอบด้านยิ่งขึ้น...
Session 1: Illuminate “The Future of Thai Wealth: Navigating the Macro Storm” ถอดรหัสปัจจัยมหภาคที่กำลังกำหนดทิศทางความมั่งคั่งของไทยในปีหน้า
คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดมุมมองด้วยภาพใหญ่ของโลกที่กำลังเผชิญ “พายุหลายด้าน” พร้อมกัน ทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด มาตรการสิ่งแวดล้อมชุดใหม่ ไปจนถึงกติกาภาษีขั้นต่ำโลกที่หลายประเทศเริ่มบังคับใช้
แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มระดับความท้าทาย แต่ก็เปิด “หน้าต่างโอกาส” ให้กับประเทศที่ปรับตัวได้เร็ว และพร้อมรองรับการลงทุนระลอกใหม่
โดยข้อมูล FDI ของโลกก็สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจน แม้การลงทุนทั่วโลกจะหดตัวติดต่อกันสองปี และล่าสุดลดลงกว่า 11% แต่อาเซียนกลับเติบโตสวนกระแสโตเพิ่มขึ้น 8% โดยมีไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่นักลงทุนจับตามองมากที่สุด
คุณนฤตม์ อธิบายว่า บรรยากาศนี้คล้ายคลื่นการลงทุนรอบใหญ่เมื่อกว่า 30 ปีก่อน เพียงแต่รอบนี้มีแรงผลักดันที่หลากหลายกว่า โดยเฉพาะเมกะเทรนด์ 5 ด้าน ได้แก่
1. Geopolitics 
ความตึงเครียดทางการค้าและเทคโนโลยีผลักดันให้บริษัทข้ามชาติเคลื่อนฐานการผลิตมาอาเซียน ทำให้ FDI ในภูมิภาคเติบโตสวนทางกับโลก
2. Sustainability 
ดีมานด์ความต้องการซื้อสินค้าสีเขียวและพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไทยมีทั้งโครงสร้างพื้นฐานและนโยบาย Green Investment รองรับชัดเจน
3. Technology (AI) 
กระแส AI ผลักดีมานด์ด้าน Digital Infrastructure เช่น Data Center Semiconductor และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
4. Global Minimum Tax 
บริษัทข้ามชาติต้องเสียภาษีขั้นต่ำ 15% ไทยจึงเตรียมมาตรการใหม่ เช่น Tax Credits เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
5. Aging Society 
แรงงานวัยทำงานลดลง ทำให้อุตสาหกรรมต้องเร่งใช้ Automation และเทคโนโลยีทดแทนแรงงานมนุษย์
และเมื่อดูตัวเลขการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ จะเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างชัดเจน
มูลค่าการลงทุนรวมเพิ่มขึ้น 94% จาก 709,905 ล้านบาท เป็น 1,374,553 ล้านบาท
จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 23% ขณะที่ FDI แตะ 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82%
โดยนักลงทุนที่เข้ามาในไทยกระจายจากหลายภูมิภาค ทั้งสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป แต่ที่น่าจับตามองคือ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกกำลัง “ปักฐาน” ในไทยมากขึ้น เช่น Infineon, Analog Devices, Microchip, Lumentum, Foxsemicon, Garmin, Haier, Sunwoda, Zhen Ding Tech Group และ Harman
สาเหตุที่ไทยโดดเด่นในสายตานักลงทุน มาจากหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่
- โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่
- ระบบพลังงานสะอาดที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- ซัปพลายเชนครบวงจร
- นโยบายส่งเสริมการลงทุนที่มีเสถียรภาพ
- รวมถึงคุณภาพชีวิตที่เหมาะกับผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารต่างชาติ
คุณนฤตม์มองว่า พายุรอบนี้ไม่ได้มีแค่ความท้าทาย แต่ยังเปิด “โอกาสทองของประเทศไทย” อีกรอบหนึ่ง และสิ่งที่ประเทศต้องทำตอนนี้ คือเร่งเตรียมความพร้อม ให้สามารถรองรับการลงทุนแห่งอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ
ด้านคุณอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มองว่า
แม้โลกกำลังเผชิญความผันผวนรอบใหม่ แต่กระแสเงินทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทย และบทบาทของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี AI ที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ BOI จึงเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ Third Wave ผ่าน 4 Pillars ที่เน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจยุคใหม่ ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพา Old Economy มานานกว่า 30 ปี ให้พร้อมแข่งขันในโลกใหม่มากขึ้น
ในฝั่งตลาดทุน สิ่งสำคัญคือการปรับกติกาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเปิดทางให้บริษัทเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอนาคตเข้ามาระดมทุนได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะกลายเป็น New S-Curve ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของไทยในระยะยาว
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำงานร่วมกับ BOI และสำนักงาน ก.ล.ต. ปรับเกณฑ์ให้สอดรับโครงสร้างธุรกิจเทคโนโลยี พร้อมเริ่มจับคู่ให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้พบกับตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเสนอ “ทางเลือกในการระดมทุนในไทย” ซึ่งกำลังกลายเป็นแม่เหล็กดึงเม็ดเงินลงทุนรอบใหม่
โดยมาตรการสำคัญที่กำลังเดินหน้า ได้แก่
1. Fast Pass 
ระบบเร่งรัดขั้นตอนอนุญาต ตั้งแต่ใบอนุญาตโรงงาน EIA ไปจนถึง Visa และ Work Permit ช่วยย่นระยะเวลาการลงทุนลงอย่างมาก
2. Training Subsidy 
โครงการพัฒนาทักษะแรงงานกว่า 100,000 คน โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมด เพื่อเตรียมบุคลากรทักษะสูงรองรับอุตสาหกรรมใหม่
3. Smart and Sustainable Industry 
มาตรการอุดหนุน 30-50% หรือยกเว้นภาษี เพื่อช่วยผู้ประกอบการยกระดับเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ และเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
คุณอัสสเดช มองว่า แม้เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าหลายประเทศ แต่พื้นฐานยังแข็งแรง ราคาหุ้นอยู่ในระดับน่าสนใจ และปันผลยังโดดเด่น
หากไทยเร่งสร้างความชัดเจนด้านการเติบโต และดึงบริษัทข้ามชาติให้เข้ามาระดมทุนในตลาดไทยมากขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าที่คิด...
Session 2: Navigate “The Global AI Race: Riding the Tsunami of Tomorrow’s Infrastructure” คลื่นโอกาสใหม่จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์สำคัญของโลกการลงทุน
คุณศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า ถ้าจับจังหวะเมกะเทรนด์ให้ถูกทาง มักสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดในระยะยาวเสมอ
โดยนักวิเคราะห์ทั่วโลกประเมินว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า AI จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจโลกมากกว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคลื่นถัดไปคือการเปลี่ยนผ่านจาก Generative AI สู่ Agentic AI ซึ่งสามารถทำงานหลายภารกิจพร้อมกัน ทำให้ความต้องการพลังประมวลผลเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
จุดนี้เองที่ทำให้ “AI Infrastructure” กลายเป็นพื้นที่โอกาสใหม่ของนักลงทุน
เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เมืองและประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ Data Center รุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานสูงขึ้นหลายเท่า ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล ไปจนถึงโครงข่ายไฟฟ้าที่ต้องอัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อรองรับยุค AI เต็มรูปแบบ
ดังนั้น นอกจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีโดยตรง ผู้ลงทุนยังสามารถมองไปที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น คลาวด์ อินฟราสตรักเชอร์ และระบบพลังงาน ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น…
ในฝั่งของ Mr. George Maltezos, Head of BlackRock Capital Formation Team (CFT) in Asia Pacific and Head of Southeast Asia Institutional Client Business มองว่า 
แม้ความผันผวนระยะสั้นยังเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่นักลงทุนควรโฟกัสจริง ๆ คือ “แรงขับเคลื่อนมหภาคระยะยาว” หรือ 4 Mega Forces ที่กำลังกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ ได้แก่
1. Digital Revolution & AI การปฏิวัติดิจิทัลและการเติบโตของ AI ที่กำลังเปลี่ยนโครงสร้างแทบทุกอุตสาหกรรม 
2. Future of Finance ระบบการเงินยุคใหม่ ตั้งแต่ตลาดทุน การชำระเงิน ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านการเงินที่กำลังปรับสมดุลรอบใหญ่ 
3. Energy Transition การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯทั่วโลกในทศวรรษข้างหน้า 
4. Demographic Divergence โครงสร้างประชากรที่แตกต่างกันมากขึ้นระหว่างภูมิภาค ส่งผลต่อแรงงาน การบริโภค และศักยภาพการเติบโต
ซึ่งหนึ่งในธีมที่โดดเด่นที่สุดคือ Energy Transition เพราะทั่วโลกต้องใช้เงินลงทุนกว่า 2.5-3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งจะสร้างดีมานด์มหาศาลต่อโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่ในหลายประเทศ
BlackRock ยังมองว่า ตลาดเกิดใหม่คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของการเติบโตด้าน Data Center และประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูง จากโครงสร้างไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ ระบบเชื่อมต่อที่พร้อมรองรับ รวมถึงทำเลที่เหมาะกับการตั้งฐานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่
นอกจากนี้ ความต้องการลงทุนใน Data Center ทั่วโลกในช่วง 50 ปีข้างหน้า อาจสูงถึง 95 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ภาครัฐสามารถลงทุนได้เพียงบางส่วน ทำให้เกิดช่องว่างกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ภาคเอกชนสามารถเข้ามาเติมเต็ม ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับงบประมาณรวมของสหรัฐฯ จีน และเยอรมนี
โดย Mr. George มองว่า AI ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ และผู้ที่ก้าวข้ามความผันผวนระยะสั้น เพื่อมองเห็น Mega Force ระยะยาว จะเป็นกลุ่มที่คว้าโอกาสการเติบโตในยุคใหม่ได้ก่อนใคร...
ด้านคุณธณาพล อิทธินิธิภัค, Head of Thailand Business, BlackRock เสริมว่า
AI ไม่ได้เป็นเพียงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต แต่กำลังพัฒนาจนกลายเป็น “โครงสร้างหลักของเศรษฐกิจสมัยใหม่” เพราะการเติบโตเกิดขึ้นทั้งจากฝั่งเงินทุนและฝั่งผู้ใช้งานจริง พร้อมกันแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- ด้านการลงทุน 
ปัจจุบันมีเงินทุนทั่วโลกไหลเข้าสู่เทคโนโลยี AI ราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการคาดการณ์ว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า เม็ดเงินอาจพุ่งแตะ 3-4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสะท้อนชัดว่า AI กำลังขยายตัวสู่ระบบเศรษฐกิจระดับโลกอย่างรวดเร็ว
- ด้านผู้ใช้งาน
จำนวนผู้ใช้ AI แบบ Active มีมากกว่า 380 ล้านคน และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยังไม่นับรวมการใช้งานที่ซ่อนอยู่ในแอปฯ และบริการดิจิทัลต่าง ๆ ที่มี AI เป็นกลไกเบื้องหลังจำนวนมหาศาล
คุณธณาพล มองว่า Generative AI วันนี้ยังเป็นเพียง “บทแรก” เท่านั้น เมื่อโลกเข้าสู่ยุค Agentic AI ที่ระบบสามารถทำงานหลากหลายรูปแบบแทนมนุษย์ได้ ความต้องการพลังประมวลผลจะเติบโตแบบก้าวกระโดด
และผลลัพธ์ที่ตามมาคือ โครงสร้างพื้นฐานต้องขยายตัวครั้งใหญ่ Data Center ทั่วโลกจะขยับจากระดับเมกะวัตต์สู่ระดับกิกะวัตต์ สะท้อนให้เห็นว่า ยุค AI Economy กำลังเดินหน้าเข้าสู่เฟสเร่งตัวเต็มรูปแบบแล้ว
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะเห็นภาพของคลื่น AI ที่กำลังขยายตัวอย่างมหาศาลแล้ว แต่เมื่อพูดถึงปี 2568 จะไม่พูดถึงสินทรัพย์ยอดฮิตอย่าง “ทองคำ” ก็คงไม่ได้
คุณธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง มองว่า 
ปี 2568 เป็น “ปีประวัติศาสตร์ของทองคำ” ราคาทองคำโลกพุ่งทำสถิติใหม่แตะ 4,381 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้นกว่า 67% จากสิ้นปี 2567 สูงที่สุดในรอบ 46 ปี ส่วนราคาทองคำไทยก็ขยับตามขึ้นมาที่ 67,400 บาท เพิ่มขึ้นถึง 59%
สำหรับแนวโน้มข้างหน้า ราคาทองคำในปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวบริเวณ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ปี 2569 แม้ราคาจะอยู่ระดับสูงแล้ว แต่ยังมีโอกาสขยับต่อไปแถว 4,700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ แม้ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวาเท่าปีก่อน
โดยข้อมูลจาก 11 สถาบันการเงินชั้นนำทั่วโลกคาดว่า ปี 2569 ราคาทองคำยังมีโอกาสขยับขึ้นสู่ช่วง 4,500-5,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ หาก 3 ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน ได้แก่
1. ความไม่แน่นอนด้านภาษีและการค้าระหว่างประเทศ 
2. การเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ
3. ความเสี่ยงด้านนโยบายการเงิน หาก Fed เผชิญแรงกดดันทางการเมืองมากกว่าคาด
ขณะเดียวกัน ยังมีอีกสองแรงหนุนที่ช่วยประคองราคาทองคำ คือ หนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และกระแส De-Dollarization ที่หลายประเทศเริ่มหันไปใช้สกุลเงินทดแทนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม คุณธนรัชต์ มองว่า แม้ทองคำจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตได้ดี แต่การถือมากเกินไปก็อาจทำให้พลาดโอกาสในสินทรัพย์อื่น
ทองคำเหมาะกับการถือยาวเพื่อผลตอบแทนสม่ำเสมอ ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ทำกำไร 60% ทุกปี จึงไม่ควรไล่ซื้อในจังหวะราคาสูง ระดับราว 3,700-3,800 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์ ถือเป็นช่วงราคาที่เหมาะสำหรับทยอยสะสม
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมนักลงทุนไทยเปลี่ยนไปอย่างมาก การซื้อเพื่อออมเพิ่มขึ้น ขณะที่การซื้อเพื่อสวมใส่ลดลง และอายุเฉลี่ยผู้ลงทุนลดลงมาอยู่ที่ 20-30 ปี จากเดิมที่มักเริ่มลงทุนช่วงอายุราว 40 ปี ขึ้นไป
การเข้ามาของแพลตฟอร์มยุคใหม่อย่างกองทุน ETFทองคำ และแอปฯ ซื้อ-ขายแบบเรียลไทม์ ยังเปิดประตูให้นักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาซื้อทองคำได้ง่ายขึ้น ใช้เงินเริ่มต้นน้อยลง และซื้อขายได้ถี่ขึ้น ส่งผลให้ราคาทองในวันนี้มีความอ่อนไหวต่อพฤติกรรมระยะสั้นมากกว่าในอดีต
ในมุมของคุณแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB FM) ได้กล่าวเสริมว่า 
ช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวและดอกเบี้ยกำลังเข้าสู่รอบขาลง มักเป็นจังหวะที่ทองคำทำผลงานได้ดี เพราะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกประเด็นสำคัญคือ ราคาทองคำโลกและค่าเงินบาทมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้ผลตอบแทนของผู้ลงทุนด้วยเงินบาท แตกต่างจากผู้ที่ลงทุนด้วยดอลลาร์สหรัฐฯค่อนข้างมาก
โดย SCB Financial Markets คาดว่า ในปี 2569 เงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้จากดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มแข็งค่าจากเทรนการลงทุนด้าน AI ที่จะหนุนเศรษฐกิจสหรัฐต่อไป และเงินทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มอ่อนแอลง และอัตราทองคำมีแนวโน้มสูงขึ้นในอัตราที่น้อยลง
โดยมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 33.00-34.00 บาท
แม้นักลงทุนไทยยังให้สัดส่วนพอร์ตในประเทศสูง โดยลงทุนต่างประเทศเฉลี่ยเพียง 10% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกกว่า 20% แต่การเพิ่มสัดส่วนต่างประเทศบางส่วนจะช่วยกระจายความเสี่ยงและทำให้พอร์ตยืดหยุ่นมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงค่าเงิน การเปิดบัญชี FCD (Foreign Currency Deposit) เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยจัดการอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวเลขจำนวนบัญชี FCD ที่เพิ่มจาก 1.2 แสนบัญชีในปี 2562 เป็นกว่า 7.2 ล้านบัญชีในช่วงกลางปี 2568 ก็สะท้อนชัดว่า นักลงทุนไทยตื่นตัวกับการบริหารความเสี่ยงค่าเงินมากขึ้นอย่างมาก
เมื่อเห็นภาพทั้งโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนในปีนี้และปีหน้าแล้ว อีกประเด็นของ “ความมั่งคั่ง” ที่หลายครั้งถูกมองข้าม คือการ “ส่งต่อทรัพย์สิน” ให้รุ่นถัดไปอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
ใน Session สุดท้าย SCB WEALTH ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทรัพย์สินและการส่งต่อธุรกิจครอบครัว มาถอดบทเรียนจริงที่หลายบ้านต้องเผชิญ
โดยคุณสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า 
ความท้าทายของธุรกิจครอบครัวไม่ได้มาจากเศรษฐกิจหรือคู่แข่งเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “ปัจจัยในบ้าน” เช่น
- ความคาดหวังที่ไม่ตรงกัน 
- มุมมองความเสี่ยงที่ต่างกัน 
- ความสัมพันธ์ของสมาชิก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อความต่อเนื่องของธุรกิจ
หัวใจของการส่งต่อคือ “ความไว้วางใจ” ซึ่งไม่ได้เกิดจากคำพูด แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการลงมือทำ ผู้สืบทอดควรมีพื้นที่ในการตัดสินใจ ขณะที่รุ่นก่อนปรับบทบาทมาเป็นที่ปรึกษา
อย่างกรณีของซินเน็ค หลายธุรกิจใหม่เกิดขึ้นเพราะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ผลักดันไอเดียของตัวเองอย่างจริงจัง
ด้านคุณนิติกานต์ รามนัฏ ทนายความหุ้นส่วน เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ มองว่า 
ปัญหาที่ครอบครัวจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญ คือการขาด “โครงสร้างกำกับดูแล” และเอกสารสำคัญอย่างธรรมนูญครอบครัว เมื่อไม่มีกรอบชัดเจน การแก้ข้อขัดแย้งจึงยิ่งซับซ้อน ข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยงระยะยาว
ดร.นิติ เนื่องจำนงค์ ผู้อำนวยการอาวุโส Wealth Planning and Family Office ธนาคารไทยพาณิชย์ เสริมว่า เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นและช่องว่างระหว่างวัยกว้างขึ้น ครอบครัวจำเป็นต้องมีระบบกำกับดูแล เช่น คณะกรรมการธุรกิจครอบครัว เพื่อกำหนดทิศทางการเติบโต กระจายความเสี่ยง และสร้างกลไกตัดสินใจที่โปร่งใส
พร้อมย้ำว่า “การสื่อสารอย่างเปิดใจ” คือรากฐานของความเชื่อใจ และคือจุดเริ่มต้นของธรรมนูญครอบครัวที่ทุกคนยอมรับร่วมกันได้
ด้วยเหตุนี้ SCB WEALTH จึงพัฒนาบริการ Family Office เพื่อช่วยออกแบบโครงสร้างความมั่งคั่ง ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากลาง ลดความขัดแย้ง วางกติกาการสืบทอดให้ชัดเจน และทำให้การส่งต่อธุรกิจและสินทรัพย์เดินหน้าได้อย่างมั่นคง เป็นระบบ และราบรื่นในระยะยาว
จาก Storm Shift สู่ Guiding Lighthouse นี่คือบทบาทของ SCB WEALTH
เมื่อมองภาพรวม จะเห็นว่า บทบาทของ SCB WEALTH ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดพอร์ตหรือการเลือกผลิตภัณฑ์ แต่คือการบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวม
ตั้งแต่การฉายภาพเศรษฐกิจโลก มองโอกาสความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว จับตาคลื่นการลงทุนใหม่อย่าง AI Infrastructure แนวโน้มผลตอบแทนของทองคำ การบริหารความเสี่ยง ไปจนถึงการวางโครงสร้างการส่งต่อธุรกิจและสินทรัพย์ของครอบครัวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ความมั่งคั่งเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น
พูดง่าย ๆ คือ SCB WEALTH ทำหน้าที่เป็น Thought Partner ที่ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นทั้งโอกาส ทิศทาง และทางเลือกในการบริหารความมั่งคั่ง ในวันที่การตัดสินใจต้องการมากกว่าคำแนะนำทั่วไป แต่ต้องมี “แสงนำทาง” ที่เชื่อถือได้ เพื่อช่วยตัดสินใจอย่างมีหลักการ และไม่พลาดจังหวะสำคัญของเกมการลงทุน
โดย SCB WEALTH วางกลยุทธ์การบริหารความมั่งคั่ง ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่
1. Customer Centricity
ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และเข้าใจความต้องการเชิงลึกของแต่ละบุคคล
2. Hyper-Personalization
ผสานความเชี่ยวชาญของที่ปรึกษาการเงินเข้ากับเทคโนโลยีและ AI เพื่อออกแบบโซลูชันการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
3. Go Global
เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนระดับโลกผ่านพันธมิตรชั้นนำ และโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มศักยภาพการเติบโตในหลายภูมิภาค
ทั้งหมดนี้ สะท้อนบทบาทของ SCB WEALTH ในฐานะ Guiding Lighthouse หรือ “ประภาคารทางการลงทุน” ที่ช่วยให้ลูกค้ามองเห็นทิศทางได้ชัดเจน แม้โลกภายนอกจะเต็มไปด้วยพายุและความผันผวนเพียงใดก็ตาม
ท้ายที่สุด คุณกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ฝากข้อคิดไว้ว่า
ในโลกที่ความผันผวนกลายเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญไม่ใช่การหลีกเลี่ยงพายุ แต่คือการมองให้ขาดว่า “เราจะใช้พายุให้กลายเป็นโอกาสได้อย่างไร”
และนี่คือสิ่งที่ SCB WEALTH พยายามทำมาตลอดในฐานะคู่คิดที่มองไกล ประเมินความเสี่ยงรอบด้าน และเดินไปพร้อมกับลูกค้าในทุกสภาวะตลาด ตามแนวคิด Your Success. Our Success. ที่ยังคงเป็นหัวใจของการดูแลลูกค้าเสมอ...
คำเตือน :
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง รวมถึงควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ประกอบธุรกิจก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
Reference :
- สรุปสัมมนา SCB WEALTH:  Holistic Wealth Forum 2025 โดยลงทุนแมน
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon