
อัตราดอกเบี้ยญี่ปุ่น สูงสุดในรอบ 30 ปี ทำไม เงินเยน ยังอ่อนค่า ?
สัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี หรือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995
โดยปกติแล้ว เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวขึ้น ค่าเงินจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตาม
แต่ทว่า ค่าเงินเยนกลับอ่อนค่าลง เข้าใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี
ทำไมสิ่งที่เกิดขึ้น กลับตรงกันข้าม ?
แล้วปัจจัยอะไรที่ฉุดให้เงินเยนร่วงค่าลง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
แล้วปัจจัยอะไรที่ฉุดให้เงินเยนร่วงค่าลง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปในเดือน มี.ค. ปี 2024 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก จากระดับ -0.10% สู่ระดับ 0.10%
สิ้นสุดการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative Interest Rate) ที่ยาวนานกว่า 8 ปี หรือตั้งแต่ปี 2016
ซึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ BOJ เลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.75% สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ
ตามกลไกปกติ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น ควรเป็นปัจจัยหนุนเงินเยนให้แข็งค่าขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในอีกฟากโลกหนึ่งอย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้เงินเยนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD/JPY) ยิ่งควรแข็งค่ามากขึ้นไปอีก
ทว่า สถานการณ์จริงไม่เป็นแบบนั้น โดยเงินเยนอ่อนค่าลง จนอยู่ใกล้กับระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 ปี เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่เมื่อเทียบกับเงินบาท เงินเยนอ่อนค่าลง จนหลุดระดับ 20 เยนต่อบาท แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 33 ปี หรือตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 1992
เงินเยนอ่อนค่าลง แม้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น ถูกมองว่ามีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัย ดังต่อไปนี้
1) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังติดลบ และตลาดไม่เชื่อว่าจะกลับมาเป็นบวกเร็ว ๆ นี้
แม้ว่า BOJ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.75%
แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่น ที่อยู่บริเวณ 3.0% ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรืออัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อ เท่ากับ -2.25% ซึ่งสะท้อนว่า นโยบายการเงินญี่ปุ่น ยังไม่ได้เข้มงวดมากขนาดนั้น
แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่น ที่อยู่บริเวณ 3.0% ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หรืออัตราดอกเบี้ยที่หักเงินเฟ้อ เท่ากับ -2.25% ซึ่งสะท้อนว่า นโยบายการเงินญี่ปุ่น ยังไม่ได้เข้มงวดมากขนาดนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เงินเฟ้อญี่ปุ่นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก ตามแนวโน้มค่าจ้างแรงงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า
แต่ท่าทีของ BOJ ก็ไม่ได้ส่งสัญญาณแน่ชัดว่า จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างไร นักลงทุนจึงไม่ได้คาดการณ์ว่าในเร็ว ๆ นี้ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของญี่ปุ่น จะกลายเป็นบวก
ทั้งนี้ แม้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น หรือบอนด์ยีลด์ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ปรับตัวขึ้น ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ซึ่งกดดันให้ช่องว่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของญี่ปุ่นและต่างประเทศแคบลง ชะลอการกู้เงินไปลงทุนในต่างประเทศ และจูงใจให้เงินทุนไหลกลับเข้าญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ถ้าการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร มาจากคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจและเงินเฟ้อญี่ปุ่นจะเติบโต อัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นต่อเนื่อง เงินเยนก็คงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
ทว่า การปรับขึ้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรญี่ปุ่นรอบนี้ ไม่ได้เกิดมาจากคาดการณ์ในแบบที่ว่านั้น..
2) นักลงทุนกังวลต่อวินัยทางการคลังญี่ปุ่นมากขึ้น
หลังคุณซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เข้ารับตำแหน่ง พร้อมกับจุดยืนที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่ง
ส่งผลให้มีการอัดฉีดงบประมาณเพิ่มเติม สำหรับปีงบประมาณ 2025 ด้วยวงเงินราว 18.3 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19
รายจ่ายงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องออกพันธบัตรขาย เพื่อระดมเงินทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
และนี่เองคือ สาเหตุที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่น โดยเฉพาะระยะยาว มีการปรับตัวสูงขึ้น
เพราะลองนึกภาพง่าย ๆ ว่า เมื่อพันธบัตรออกมาพร้อมกันจำนวนมาก ก็เหมือนสินค้าที่มีล้นตลาด ราคาพันธบัตรจึงมีแนวโน้มปรับตัวลง
และเมื่อราคาพันธบัตรลดลง อัตราผลตอบแทน ก็เพิ่มขึ้นตามเป็นเงา
(ราคาและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ผกผันกัน)
(ราคาและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร ผกผันกัน)
ขณะเดียวกัน หนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายญี่ปุ่นเป็นขาขึ้น ย่อมทำให้ต้นทุนการกู้เงินของรัฐบาลสูงขึ้นด้วย
ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะต่อ GDP สูงถึงราว 250% ซึ่งสูงที่สุดในโลก
สถานการณ์นี้ จึงเกิดการตั้งคำถามต่อวินัยทางการคลังของญี่ปุ่น
ซึ่งทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป จากการถือพันธบัตรญี่ปุ่น
ไม่เพียงเท่านั้น ความเชื่อมั่นต่อค่าเงินเยนก็ถูกสั่นคลอนตามไปด้วย..
3) สถานะความเป็นสกุลเงินปลอดภัยของเงินเยน ที่กำลังถูกสั่นคลอน
ในอดีต เงินเยนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสกุลเงินปลอดภัย (Safe Haven) ของโลก และมักได้รับแรงหนุน เมื่อโลกเผชิญกับความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
แต่ภาพดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป
เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเผชิญความเปราะบางหลายด้าน
ตั้งแต่การเติบโตที่ไม่สม่ำเสมอ โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ไปจนถึงหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงมาก
ตั้งแต่การเติบโตที่ไม่สม่ำเสมอ โครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ไปจนถึงหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงมาก
ขณะเดียวกัน ค่าเงินเยนกลับมีความผันผวนเพิ่มขึ้น
ทั้งจากทิศทางนโยบายการเงินที่ยังไม่ชัดเจน
และความกังวลด้านการคลังที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งจากทิศทางนโยบายการเงินที่ยังไม่ชัดเจน
และความกังวลด้านการคลังที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ
ค่าเงินที่ผันผวนง่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอ่อนไหวต่อแรงกระแทกจากภายนอกมากขึ้น
เมื่อเงินเยนเริ่มไม่สามารถทำหน้าที่ เป็นที่พักเงินในยามเสี่ยงได้เหมือนเดิม นักลงทุนจึงลดการถือเงินเยน
หรือเลือกมองหาสกุลเงินหรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นแทน
หรือเลือกมองหาสกุลเงินหรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นแทน
ด้วยเหตุนี้ เงินเยนจึงไม่ได้รับแรงหนุนจากฝั่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นเท่าที่ควร
ขณะเดียวกัน ยังเผชิญปัจจัยรุมเร้า ที่กดดันให้ค่าเงินอ่อนค่าลงอีก
ขณะเดียวกัน ยังเผชิญปัจจัยรุมเร้า ที่กดดันให้ค่าเงินอ่อนค่าลงอีก
อย่างไรก็ดี เงินเยนที่อ่อนค่า อาจไม่ใช่จุดอ่อนของญี่ปุ่น
แต่เป็นราคาที่ต้องจ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจยังพอหายใจได้ ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านในช่วงเวลานี้..
แต่เป็นราคาที่ต้องจ่าย เพื่อให้เศรษฐกิจยังพอหายใจได้ ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านในช่วงเวลานี้..
References
- Investing
- Financial Times
- MacroMicro
- The Wall Street Journal
- Investing
- Financial Times
- MacroMicro
- The Wall Street Journal