ลาว กับยุทธศาสตร์ “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” เส้นทางลัดสู่การพัฒนา หรือกับดัก ?

ลาว กับยุทธศาสตร์ “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” เส้นทางลัดสู่การพัฒนา หรือกับดัก ?

ลาว กับยุทธศาสตร์ “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” เส้นทางลัดสู่การพัฒนา หรือกับดัก ? /โดย ลงทุนแมน
ช่วงที่ไทย ในอดีต และเวียดนาม ในตอนนี้ มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น ต่างพัฒนาเศรษฐกิจด้วยวิธีที่คล้ายกัน
แต่ทว่า อีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคอาเซียนอย่าง ลาว ตัดสินใจเขียนสูตรการพัฒนาเศรษฐกิจที่แตกต่างออกไปจากเพื่อนบ้าน
การเลือกเป็น “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” กำลังพาลาวไปสู่เส้นทางการพัฒนาแบบไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ลาว เริ่มประกาศใช้ยุทธศาสตร์ “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” อย่างเป็นทางการ ในช่วงต้นยุค 2000
ซึ่งยุทธศาสตร์นี้ คือการวางเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการขายพลังงานไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
ทั้งนี้ แม้ลาวเป็นประเทศแลนด์ล็อก (Landlocked Country) หรือประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่ลาวหวังจะใช้แม่น้ำโขง ที่ไหลพาดผ่านตลอดทางฝั่งขวาของประเทศ มาเป็นแหล่งสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ
นับจากวันนั้น ลาวมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจากราว 400 เมกะวัตต์ เป็นกว่า 7,000 เมกะวัตต์
หรือเพิ่มขึ้นราว 17.5 เท่า ในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา
โดยไทย ถือเป็นประเทศผู้ซื้อไฟฟ้าหลักของลาว
รายได้จากการส่งออกไฟฟ้าของลาวนั้น
ปี 2013 อยู่ที่ 12,800 ล้านบาท (ปีที่เริ่มบันทึกข้อมูล)
ปี 2024 อยู่ที่ 83,600 ล้านบาท
เท่ากับว่า รายได้จากการส่งออกไฟฟ้าสูงขึ้นกว่า 550% หรือเฉลี่ย (CAGR) ปีละ 18.65% นับตั้งแต่ปี 2013
ไฟฟ้า จึงได้กลายเป็นสินค้าส่งออกหลัก และสร้างรายได้มากสุดให้กับประเทศ
นอกจากนั้น ในปี 2025 ลาวยังขยับการผลิตพลังงานของตน ไปสู่การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์และลม
ภาพของการเป็นแบตเตอรี่แห่งอาเซียน จึงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เบื้องหลังภาพดังกล่าว กลับซ่อนคำถามสำคัญเอาไว้..
เพราะยุทธศาสตร์การวางตัวเป็นผู้ขายพลังงาน สะท้อนการเลือกเส้นทางเศรษฐกิจแบบพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช้พลังงานน้ำเป็นฐานรายได้หลัก
ซึ่งแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ไทยและเวียดนาม ที่เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ จากพึ่งพาภาคเกษตรกรรม ไปสู่การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก
โดยช่วงต้นทศวรรษ 1990 รายได้จากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขั้นต้นของไทย มีสัดส่วนราว 80% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น
ขณะที่เวียดนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พึ่งพาการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ในสัดส่วนราว 85% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ต่างจากที่ไทยทำได้ในอดีต
ที่น่าสนใจคือ ลาวและเวียดนาม เคยมีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน สะท้อนผ่านขนาด GDP ต่อประชากร (GDP per capita)
ปี 1990
ลาว 6,327 บาทต่อปี
เวียดนาม 3,110 บาทต่อปี
ปี 2000
ลาว 10,042 บาทต่อปี
เวียดนาม 12,718 บาทต่อปี
ปี 2010
ลาว 35,446 บาทต่อปี
เวียดนาม 52,980 บาทต่อปี
แต่หลังจากนั้น เส้นทางของทั้งสองประเทศ เริ่มแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
โมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้เวียดนามเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2013-2024 เศรษฐกิจเวียดนามโตเฉลี่ยปีละ 7.6%
ขณะที่ภาพการเติบโต จากโมเดลที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติของลาว กลับยังไม่เด่นชัดนัก สะท้อนผ่านขนาดเศรษฐกิจของลาว
ปี 2013 มี GDP อยู่ที่ 377,100 ล้านบาท
ปี 2024 มี GDP อยู่ที่ 519,500 ล้านบาท
คิดเป็นอัตราเติบโตของเศรษฐกิจเฉลี่ยปีละ 2.9% ต่อปี ทั้งที่รายได้จากการขายไฟฟ้า เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ กว่า 6 เท่า
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า รายได้จากการขายไฟฟ้า ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ลาวได้อย่างจำกัด
แต่อุตสาหกรรมพลังงานของลาว กลับต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลในการลงทุน โดยโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงาน และพัฒนาทรัพยากรเหมืองแร่ มีสัดส่วนประมาณ 80% ของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)
อีกทั้งเขื่อนในลาว มักเป็นการทำสัมปทานของบริษัทข้ามชาติ หรือเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลลาวและกลุ่มทุนต่างชาติ
รายได้จากการขายไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นจึงมักถูกหักออกไปเป็น
- ค่าชำระหนี้กู้ยืมต่างประเทศ
- เงินปันผลให้บริษัทข้ามชาติ
- ค่าใช้จ่ายด้านสินค้าทุนและเทคโนโลยี
ส่วนรายได้หลักที่รัฐบาลลาวได้รับ จึงอาจเหลือเพียง
- ค่าภาคหลวง (Royalty Fee) หรือค่าตอบแทนที่ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายให้กับรัฐบาล ในฐานะที่เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น อุตสาหกรรมพลังงาน ไม่ได้สร้างการจ้างงานให้กับคนลาวมากนัก ทำให้ราว 70% ของแรงงานลาว ยังคงอยู่ในภาคเกษตรกรรม ซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าทั้งไทยและเวียดนาม
กลายเป็นว่า ศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น กลับไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจและรัฐบาลลาว มีรายได้เพิ่มขึ้นตาม..
แต่ตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นตาม กลายเป็น หนี้สาธารณะ จากการร่วมทุนสร้างเขื่อนหลายแห่งทั่วประเทศของรัฐบาล
ส่งผลให้ลาว กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในอาเซียน สวนทางกับขนาดเศรษฐกิจ ที่ยังอยู่ในระดับรั้งท้ายของภูมิภาค
ความเปราะบางทางการเงินนี้ ถูกตอกย้ำ เมื่อเกิดวิกฤติราคาพลังงานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนลาวต้องเผชิญกับเงินเฟ้อสูง และค่าเงินกีบ อ่อนค่ารุนแรง ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์แบตเตอรี่เอเชีย คงไม่ได้เกิดจากความผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจที่จะให้ประเทศสามารถหารายได้ จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่มีอยู่
ทว่าความท้าทายที่ลาวกำลังเผชิญ คือ รายได้จากทรัพยากร ไม่ถูกส่งต่อไปยังภาคส่วนอื่น ทำให้เศรษฐกิจโดยภาพรวมยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
โจทย์สำคัญของลาวในระยะถัดไป อาจไม่ใช่การเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า เพียงมิติเดียว
แต่ควรสร้างส่วนเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ (Economic Linkages) ระหว่างอุตสาหกรรมพลังงาน กับภาคเศรษฐกิจอื่น
ไม่ว่าจะเป็น การใช้ไฟฟ้าต้นทุนต่ำเป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูง หรือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษรอบแหล่งผลิตพลังงาน
รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน, ระบบโลจิสติกส์
และยกระดับทักษะแรงงาน ให้รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ซับซ้อนขึ้น
เพราะในระยะยาว แบตเตอรี่แห่งอาเซียน คงไม่สามารถเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการพัฒนาเศรษฐกิจได้
เสมือนการที่รถยนต์หนึ่งคัน จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้นั้น จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ นอกเหนือจากแบตเตอรี่ด้วย..
References
- กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
- วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์, (มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด)
- ASEAN Briefing
- ASEAN+3 Macroeconomic Research Office, (Akifumi Fujii)
- Foreign Policy Research Institute, (Jessica C. Teets, Anujin Byambasaikhan, Yui Sze Kam, Wei Liang, and Lindsey Morrow)
- Georank
- Ministry of Information and Communications, (VietnamPlus)
- Ministry of Industry and Commerce, Lao PDR
- The Chinese University of Hong Kong, (Yeqi Xue)
- The Laotian Times
- The Observatory of Economic Complexity (OEC)
- The World Bank
- Statista
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon