เจาะความสำเร็จ S&P ตลอด 52 ปี ทำอย่างไรถึงครองใจคนไทยได้ยาวนาน

เจาะความสำเร็จ S&P ตลอด 52 ปี ทำอย่างไรถึงครองใจคนไทยได้ยาวนาน

เจาะความสำเร็จ S&P ตลอด 52 ปี ทำอย่างไรถึงครองใจคนไทยได้ยาวนาน / ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง x S&P
ธุรกิจอาหาร คือหนึ่งในสนามที่ปราบเซียนที่สุด
เพราะความชอบของผู้บริโภคเปลี่ยนไว เมนูต้องขยับตาม และมีคู่แข่งหน้าใหม่ตบเท้าเข้ามาท้าชิงทุกปี
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นหลายแบรนด์ค่อย ๆ หายไปจากตลาด ไม่ใช่เพราะไม่อร่อย แต่เป็นเพราะ “ปรับตัวไม่ทัน”
แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด กลับมีแบรนด์หนึ่งที่ไม่เพียงแค่อยู่รอด แต่อยู่เคียงข้างคนไทยมายาวนานกว่า 52 ปี แบรนด์นั้นคือ S&P
จากร้านไอศกรีมเล็ก ๆ เพียงคูหาเดียว สู่อาณาจักรร้านอาหารที่สร้างรายได้กว่า 6,200 ล้านบาท ในปี 2567
คำถามคือ S&P มี “เคล็ดลับ” อะไร ที่ทำให้สามารถครองใจคนไทยได้ยาวนานขนาดนี้
วันนี้ ลงทุนแมน มีโอกาสพูดคุยพิเศษกับ คุณกำธร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เพื่อค้นหาคำตอบของความยั่งยืนในแบบฉบับของ S&P
คุณกำธรมองว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมอาหาร ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่เป็นสัญญาณที่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือผู้บริโภค
การเข้ามาของแบรนด์ต่างชาติ กลายเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยต้องยกระดับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทั้งคุณภาพ รสชาติ และมาตรฐานการบริการ
จนเราได้เห็นแบรนด์ไทยหลายรายก้าวไปแข่งขันในเวทีโลก และได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงรางวัล Michelin Star
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การอยู่รอดของธุรกิจอาหาร ไม่ได้วัดกันแค่ความอร่อยหรือชื่อเสียงในอดีตอีกต่อไป
แต่คือความสามารถในการเรียนรู้ และปรับตัวให้ทันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา
ซึ่งถ้าเราลองมาดูกรณีศึกษาของ S&P ก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน...
เรื่องราวของ S&P เริ่มต้นขึ้นในปี 2516 จากร้านเล็ก ๆ ในซอยสุขุมวิท 23 ภายใต้ชื่อ S&P Ice-Cream Corner โดยพี่น้องตระกูลไรวา และตระกูลศิลาอ่อน
เมื่อเวลาผ่านไป ทีมผู้ก่อตั้งเริ่มเห็นว่า การขายไอศกรีมเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอสำหรับการเติบโตในระยะยาว
S&P จึงค่อย ๆ ขยายเมนูไปสู่อาหารจานเดียว ของว่าง และเบเกอรี เพื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น
ช่วงแรก ธุรกิจต้องลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาว่าจุดแข็งที่แท้จริงของแบรนด์ควรอยู่ตรงไหน ทั้งในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และรูปแบบการให้บริการ
จนกระทั่ง S&P มองเห็น “ช่องว่างของตลาด” ที่สำคัญ
ในยุคนั้น หากต้องการอาหารที่สะอาดและได้มาตรฐาน ตัวเลือกมักมีเพียงร้านข้างทาง หรือไม่ก็ร้านอาหารในโรงแรม
S&P จึงเลือกวางตำแหน่งตัวเองเป็นร้านอาหารที่สะอาด มีคุณภาพ และเข้าถึงได้ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในโรงแรม
พร้อมพัฒนาเมนู Signature ที่กลายเป็นภาพจำของแบรนด์มาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวไก่อบ ข้าวผัดอเมริกัน ข้าวผัดน้ำพริกกุ้งสด ไปจนถึงวุ้นเส้นผัดไทย
ต่อมา เมื่อธุรกิจร้านอาหารเริ่มลงตัว S&P จึงต่อยอดไปสู่ตลาดเค้ก จากการสังเกตพฤติกรรมง่าย ๆ ว่า การฉลองวันเกิดคือเรื่องปกติของแทบทุกครอบครัว
แต่ในเวลานั้น การหาเค้กคุณภาพดีที่สั่งได้สะดวก ยังมีตัวเลือกไม่มากนัก
จากความเชี่ยวชาญด้านเบเกอรี S&P จึงกลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเค้กแต่งหน้าตามสั่ง และเค้กลายการ์ตูนรายแรก ๆ ของไทย
ตัดมาที่ภาพปัจจุบัน S&P ไม่เพียงแต่จะเติบโตเป็นอาณาจักรร้านอาหารระดับท็อปของประเทศ ที่สร้างรายได้กว่า 6,000 ล้านต่อปี
แต่ยังเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดเค้กและเบเกอรี โดยเฉพาะเค้กปอนด์สำหรับเป่าเทียนวันเกิด ที่มียอดขายเกือบ 2 ล้านก้อนต่อปี
แล้วรู้หรือไม่ว่า ? แม้ S&P จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2532 หรือราว ๆ 35 ปีที่แล้ว
แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้น ผู้ก่อตั้งตั้งใจให้ S&P เป็นเพียงธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก สำหรับพี่น้องในบ้าน โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะเติบโตเป็นเชนร้านอาหารระดับประเทศอย่างในวันนี้
แล้วถ้าจะให้ คุณกำธร สรุป “เคล็ดลับความสำเร็จ” ของ S&P ออกมาเป็น 4 ข้อ จะมีอะไรบ้าง
1. Passion และ Commitment
หนึ่งใน DNA สำคัญของ S&P คือความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำพูด แต่สะท้อนผ่านการลงมือทำจริงของผู้ก่อตั้ง
คุณกำธรเล่าว่า คุณแม่ของเขา คุณภัทรา ศิลาอ่อน แม้อายุ 83 ปีแล้ว ยังออกไปเยี่ยมสาขาและพูดคุยกับพนักงานแทบทุกวัน
หากเห็นจุดไหนยังไม่เรียบร้อย ตั้งแต่การจัดวางสินค้าไปจนถึงรายละเอียดหน้าร้าน ก็จะเข้าไปจัดการด้วยตัวเองทันที
ภาพเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยน Passion ของผู้ก่อตั้ง ให้กลายเป็น Commitment ที่ส่งต่อถึงพนักงานทุกคน และหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมองค์กร อย่างแท้จริง
2. Innovation ที่เริ่มจากการสังเกตและฟังผู้บริโภคจริง ๆ
ตัวอย่างเช่น “ชิโอะปัง” ขนมปังสไตล์ญี่ปุ่นที่กลายเป็นกระแสในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เมื่อเห็นพฤติกรรมผู้บริโภค S&P ก็พัฒนาเมนูนี้อย่างรวดเร็ว พร้อมปรับรสชาติและคุณภาพให้เหมาะกับฐานลูกค้าของตัวเอง
ผลลัพธ์คือ ภายในเวลาเพียง 6 เดือน S&P จำหน่ายชิโอะปังไปแล้วเกือบ 3 ล้านชิ้น
นอกจากนี้ S&P ยังต่อยอดธุรกิจเค้กเข้าสู่ตลาดเค้กแต่งงาน ผ่านแบรนด์ SNP Cake Atelier ที่ออกแบบเค้กให้สะท้อนตัวตนและความหมายของช่วงเวลาสำคัญของลูกค้าแต่ละคู่
3. Marketing และ Branding
สำหรับแบรนด์ที่อยู่กับคนไทยมากว่า 5 ทศวรรษ S&P มองว่า การดูแลแบรนด์ไม่ใช่แค่ทำสินค้าให้ดี แต่คือการทำอย่างไรให้แบรนด์ยัง “ทันสมัย” ในสายตาผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปทุกวัน
วันนี้ ลูกค้าไม่ได้อยู่แค่หน้าร้านอีกต่อไป การสื่อสารของแบรนด์จึงต้องไปอยู่ในทุกพื้นที่ที่ลูกค้าใช้ชีวิตจริง ทั้งหน้าร้าน โซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มดิจิทัล
ขณะเดียวกัน S&P ก็ออกแบบให้ลูกค้าเข้าถึงแบรนด์ได้ในทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การนั่งทานที่ร้าน ซื้อกลับบ้าน ไปจนถึงการสั่งผ่านดิลิเวอรี
แนวคิดเดียวกันนี้ ยังสะท้อนผ่านการเลือกทำเลสาขา ที่ไม่ได้เน้นเปิดให้มากที่สุด แต่เปิดในจุดที่ลูกค้าอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นห้าง โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน หรือสนามบิน
4. Collaboration
เพราะการจับมือกับแบรนด์ต่าง ๆ คือวิธีดึงฐานลูกค้าใหม่ เสริมภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และขยายธุรกิจโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
แล้วที่ผ่านมา S&P เลือกคอลแลบกับใครบ้าง ?
- Wingstop
แบรนด์ปีกไก่จากสหรัฐฯ ที่ก่อตั้งในปี 2537 และเติบโตจนมีสาขามากกว่า 3,000 แห่งทั่วโลก
จุดเด่นคือปีกไก่ซอสหลากหลายรสชาติ วางตัวเป็นแบรนด์ที่คุณภาพดีกว่าฟาสต์ฟูดทั่วไป แต่ยังเข้าถึงง่ายและถูกใจคนรุ่นใหม่
S&P จับมือกับ Wingstop เปิดสาขาแรกในประเทศไทยที่ MBK Center พร้อมดิไซน์ร้านที่ดูโมเดิร์นและสนุกขึ้น เพื่อสร้างภาพจำใหม่ในตลาดไก่ทอดไทย
ที่น่าสนใจคือ Wingstop ได้รับกระแสตอบรับที่แข็งแกร่งเกินคาด เพียงสัปดาห์แรกหลังเปิดให้บริการ มีลูกค้าเข้าคิวรอมากกว่า 1 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องทุกวัน
โดยกลุ่มลูกค้าหลักคือ Gen Z สะท้อนศักยภาพของแบรนด์ในการเข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ และโอกาสการเติบโตในตลาด QSR ของไทย
โปรเจกต์นี้มีคุณเนม ปราการ ไรวา ทายาท S&P เข้ามาดูแลโดยตรง และตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 7-10 สาขาภายในปี 2569 โดยโฟกัสในกรุงเทพฯ เป็นหลัก
- Disney
เจ้าของคาแรกเตอร์ระดับโลก ที่เติบโตมากับผู้คนแทบทุกเจเนอเรชัน ตั้งแต่ Mickey Mouse ไปจนถึง Disney Princess
S&P เลือกต่อยอดภาพจำของแบรนด์ ผ่านสินค้าเบเกอรีที่ไม่ได้ขายแค่รสชาติ แต่เชื่อมโยงกับอารมณ์และความทรงจำของผู้บริโภค
ตั้งแต่คุกกี้เนยลาย Disney Princess ในแพ็กเกจสำหรับเป็นของขวัญ ไปจนถึงเค้กดิไซน์ Disney ที่ลูกค้าสามารถออกแบบเองได้ สำหรับวันเกิดและช่วงเวลาสำคัญ
- สถาบันวิจัยชั้นนำของไทย
เช่น มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อร่วมพัฒนาเมนูสำหรับผู้บริโภคสายเฮลที บนพื้นฐานของข้อมูลโภชนาการที่เชื่อถือได้
ความร่วมมือนี้ต่อยอดมาเป็น S&P Wellness Menu ที่ไม่ได้เป็นแค่เมนูทางเลือก แต่คือการขยายบริการสู่กลุ่มคนรักสุขภาพอย่างจริงจัง
เมนูถูกออกแบบให้ได้สัดส่วนสารอาหารเหมาะสม ใช้โปรตีนไขมันต่ำ เน้นใยอาหาร และหลีกเลี่ยงวัตถุกันเสียให้ผู้บริโภคเลือกรับประทานได้อย่างมั่นใจ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพ
อ่านมาถึงตรงนี้ เราน่าจะพอเห็นภาพความสำเร็จของ S&P ตลอดกว่า 52 ปีที่ผ่านมาแล้ว
แต่ในวันที่เศรษฐกิจไม่สดใส หลายคนอาจยังอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ทำไมบางช่วงหน้าร้านดูไม่ค่อยมีคน แล้วธุรกิจของ S&P ยังแข็งแรงอยู่หรือไม่ ?
คำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่ผลประกอบการของ บริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2565 รายได้ 5,798 ล้านบาท กำไร 460 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 6,290 ล้านบาท กำไร 485 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 6,200 ล้านบาท กำไร 426 ล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า S&P ยังเติบโตได้อย่างมั่นคง รักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้ และที่สำคัญคือ โมเดลธุรกิจที่ไม่ได้พึ่งพาแค่หน้าร้านเหมือนในอดีตอีกต่อไป แต่ขยับน้ำหนักไปที่ดิลิเวอรีและช่องทางอื่นมากขึ้น
ขณะเดียวกัน คุณกำธรยังเล่าว่า S&P กำลังเดินหน้าปรับ Store Format เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ตัวอย่างแรกคือ S&P Daily ร้านคอนเซปต์ Grab and Go ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โฟกัสความรวดเร็ว ดิไซน์ทันสมัย
ให้บรรยากาศใกล้เคียงร้านอาหารต่างประเทศ แต่ยังคงคุณภาพและมาตรฐานแบบ S&P ไว้อย่างครบถ้วน
อีกหนึ่งคอนเซปต์ที่น่าสนใจคือ S&P Express ซึ่งเตรียมเปิดในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โฟกัสกลุ่มนักศึกษา เน้นอาหารจานเร็ว ราคาจับต้องได้ พร้อมพัฒนาเมนูรสชาติจัดจ้านขึ้น เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น
สุดท้ายแล้ว หากจะให้คุณกำธรฝากข้อคิดถึงผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหาร จะมีอะไรบ้าง ?
คุณกำธรมองว่า การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องคิดใหญ่ตั้งแต่วันแรก
แต่ควรเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ทดลองตลาด และดูให้ชัดว่าสินค้าตอบโจทย์ลูกค้าจริงหรือไม่
หากยังไม่เจอโมเดลที่ใช่ ก็ไม่ควรรีบขยาย เพราะการฝืนโต มักพาไปเจ็บตัวมากกว่าสร้างการเติบโต
Cloud Kitchen จึงเป็นเหมือนสนามทดลองที่ดี ต้นทุนต่ำ วัดผลได้เร็ว และใช้ดิลิเวอรีช่วยให้เห็นพฤติกรรมลูกค้าได้จริง ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มขาย
แต่ไม่ว่าจะเริ่มจากทางไหน สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันเสมอ คือการฟังลูกค้าอย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับตัวตามฟีดแบ็กอยู่ตลอดเวลา
เพราะสุดท้ายแล้ว ธุรกิจที่อยู่รอด อาจไม่ใช่ธุรกิจที่เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด แต่คือธุรกิจที่เรียนรู้ได้เร็ว และปรับตัวได้ทันที่สุด นั่นเอง...
References :
-สัมภาษณ์พิเศษ คุณกำธร ศิลาอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S&P โดยลงทุนแมน
-https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/SNP/financial-statement/company-highlights
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon