แนวคิดนักธุรกิจ ฉบับเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับหนัง ที่รวยหมื่นล้าน

แนวคิดนักธุรกิจ ฉบับเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับหนัง ที่รวยหมื่นล้าน

แนวคิดนักธุรกิจ ฉบับเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับหนัง ที่รวยหมื่นล้าน /โดย ลงทุนแมน
หลายคนคงรู้กันดีว่า เจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับที่เก่งแค่ไหน จากภาพยนตร์เรื่อง Avatar และ Titanic ที่ประสบความสำเร็จสูงมาก
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เจมส์ คาเมรอน ก็ยังมีความเป็นนักธุรกิจที่เก่งมาก ๆ จนตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีรวยระดับหมื่นล้านบาท แถมยังเป็น 1 ใน 5 ผู้กำกับที่รวยระดับหมื่นล้านบาทของโลกไปแล้ว
เจมส์ คาเมรอน ใช้วิธีไหน สร้างความมั่งคั่งหมื่นล้านบาทได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
สิ่งที่ทำให้เจมส์ คาเมรอน กลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านบาท ไม่ใช่เพราะความสำเร็จของภาพยนตร์ที่เขากำกับอย่างเดียว แต่มาจากวิธีคิดที่กล้าเสี่ยงแบบนักธุรกิจของเขา
เริ่มตั้งแต่การยอมขายบทภาพยนตร์เรื่อง The Terminator
ที่ตัวเองคิดขึ้นมาในราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ตัวเองได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้
ถ้าเป็นเราก็คงลังเลที่จะทำแบบนั้น เพราะอุตส่าห์คิดบทภาพยนตร์เรื่องหนึ่งมานาน ถ้าให้ขายในราคาแค่นั้น ก็คงเสียดายที่ขายถูกไป
แต่การกล้าเสี่ยงของเจมส์ คาเมรอน ก็ทำให้เขาได้เงินค่าตัวมา 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเงินสัญญา 5 ปีอีกกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นทุนไปสร้างภาพยนตร์
เพราะ The Terminator ภาคแรก สามารถทำรายได้ทั่วโลกกว่า 78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยงบประมาณต้นทุนแค่ 6.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
แม้จะได้เงินมาเยอะขนาดนั้น แต่เขาก็ยังเอาเงินไปลงทุนต่อด้วยการก่อตั้งบริษัทสตูดิโอของตัวเอง ที่ชื่อ Lightstorm Entertainment ในปี 1990
ซึ่งทำให้เขาการันตีแน่ ๆ ว่าตัวเองจะได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ของตัวเอง แถมยังอาจได้ส่วนแบ่งกำไรจากภาพยนตร์มากขึ้นตามไปด้วย
ความกล้าเสี่ยงของเจมส์ คาเมรอน ยังไม่หยุดแค่เท่านี้
โดยเฉพาะผลงานเรื่อง Titanic ซึ่งงบประมาณพุ่งสูงเกิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ทั้ง Fox หรือ 20th Century ในปัจจุบันและ Paramount ที่เป็นผู้ร่วมสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มกังวล
แต่เขาไม่ยอมอ่อนข้อเด็ดขาด กับงบประมาณในการสร้างภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แม้อาจเสี่ยงขาดทุนก็ตาม
แทนที่เจมส์ คาเมรอน จะยอมลดงบประมาณลง เขากลับเสนอไม่รับเงินจากการเป็นผู้กำกับเรื่องนี้ และเลือกเดิมพันเพื่อขอส่วนแบ่งรายได้จากภาพยนตร์นี้แทน
ปกติแล้ว การทำภาพยนตร์ 1 เรื่อง รายได้ก็จะถูกแบ่งไปให้กับผู้จัดจำหน่ายและค่ายสตูดิโออยู่แล้ว การทำแบบนี้ทำให้เขาเข้ามาขอส่วนแบ่งตรงนี้ได้ด้วย
ซึ่งถ้าภาพยนตร์รุ่ง เขาก็จะรับทรัพย์ไป
แต่ถ้าไม่รุ่ง เขาก็จะไม่ได้อะไรเลย
สุดท้าย Titanic ก็ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย และกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเขา ที่สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองโด่งดังในฐานะผู้กำกับมากขึ้น
และได้รับส่วนแบ่งกำไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้ราว 10% ซึ่ง Forbes ประเมินว่า เขาได้เงินตรงนี้ราว 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
ท่าประจำแบบนี้ ยังคงถูกใช้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์ปัจจุบันของเขาอย่าง Avatar ในปี 2009 ที่สามารถทำรายได้เกือบ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ในช่วงก่อนเริ่มสร้าง ค่ายสตูดิโออย่าง Fox เองก็ยังกลัวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจขาดทุน แม้ว่าเขาเคยพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถเดิมพันแบบนี้ได้สำเร็จ
Fox จึงไประดมทุนจากนักลงทุนอื่น ๆ อีกราว 60% ของงบประมาณในการสร้าง ทั้งจาก Dune Capital Management และ Ingenious Media
รวมไปถึงกลุ่มนักลงทุนคนดังในสหราชอาณาจักรหลายสิบคน เช่น เดวิด เบ็คแฮม, ซาชา บารอน โคเฮน, ปีเตอร์ กาเบรียล และกาย ริตชี
ซึ่งสุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายเหมือนเดิม จนคาดการณ์ว่านักลงทุนกลุ่มนี้ได้รับผลกำไรเกือบ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการลงทุนเพียงประมาณ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
และเจมส์ คาเมรอนเอง ก็ได้ส่วนแบ่งรายได้เช่นกัน จากการทำข้อตกลงในการกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ เขาและบริษัท Lightstorm Entertainment กลายเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ จึงสามารถรับรายได้อีกหลายล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปีจากข้อตกลงด้านลิขสิทธิ์ IP
ซึ่งก็คือ คาแรกเตอร์ตัวละครต่าง ๆ ของ Avatar ที่อยู่ในของเล่น สินค้า และเครื่องเล่นในสวนสนุก Disney's Animal Kingdom เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา
ทั้งหมดที่พูดมานี้ ก็จะเข้ากระเป๋าของเขาไปเรื่อย ๆ โดยแทบไม่ต้องลงทุนหรือทำอะไรเพิ่มเติมเลย
และอย่างที่เรารู้กันว่า Avatar เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์หลายภาค ก็แปลว่า เจมส์ คาเมรอน ก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต
ตัวอย่างเช่น Avatar ภาค 2 เรื่อง The Way of Water ในปี 2022 เจมส์ คาเมรอน มีข้อตกลงส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 20% หรือราว 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สรุปแล้ว การที่เจมส์ คาเมรอน เป็นผู้กำกับหนังที่รวยระดับหมื่นล้านบาทได้ ส่วนหนึ่งก็มาจากความกล้าเสี่ยงในการทำภาพยนตร์ ที่หลายคนกังวลแทนว่ามันจะขาดทุนไหม
และความกล้าเสี่ยงนี้เอง ก็ถูกผูกติดไว้กับส่วนแบ่งรายได้มหาศาลของภาพยนตร์แต่ละเรื่องหลังสำเร็จแล้ว เหมือนกับเรื่อง Titanic และ Avatar
ซึ่งจะว่าไป คนที่ทำแบบนี้เหมือนกับเจมส์ คาเมรอน แต่ไม่ใช่โลกภาพยนตร์ ก็คือ อีลอน มัสก์
อีลอน มัสก์ เลือกไม่รับเงินเดือนของตัวเอง กับบริษัท Tesla แต่เลือกรับเป็นสิทธิ์การได้หุ้นหรือ Stock Option พร้อมโบนัสพิเศษแทน ถ้าทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
พอเป็นแบบนี้เลยจูงใจให้ CEO สร้างผลงานให้บริษัทไปเรื่อย ๆ เพราะเมื่อผลงานดีขึ้น ผลประกอบการก็ดีขึ้น แล้วสะท้อนไปให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
ถ้าดูแค่นี้แล้ว ผลตอบแทนของอีลอน มัสก์ ก็ไม่ต่างอะไรจากส่วนแบ่งรายได้จากภาพยนตร์ที่เจมส์ คาเมรอน ได้รับ ที่ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ทำได้
ซึ่งก็ทำให้ทั้งคู่ได้ความมั่งคั่งมหาศาล ด้วยวิธีการที่คล้ายกัน แม้จะอยู่กันคนละวงการ..
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon