ผู้สนับสนุน.. RMF 5 แบบ ที่ตอบโจทย์แต่ละสไตล์

ผู้สนับสนุน.. RMF 5 แบบ ที่ตอบโจทย์แต่ละสไตล์

26 พ.ย. 2018
ผู้สนับสนุน..
RMF 5 แบบ ที่ตอบโจทย์แต่ละสไตล์ / โดย ลงทุนแมน
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินมากขึ้น
เพราะคงไม่มีใคร อยากลำบากในยามเกษียณ
การออมเงินในบัญชีออมทรัพย์ อาจเป็นทางเลือกพื้นฐานที่ดี
แต่ถ้ามีเครื่องมือที่มาช่วยให้เงินเก็บของเรามีโอกาสงอกเงยได้มากขึ้นก็คงเป็นทางเลือกที่ดีขึ้น
ทาง บลจ.กรุงศรี มี RMF ใหม่มานำเสนอ 5 กองทุน
แต่ละกองทุนเป็นอย่างไร.. ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เมื่อเข้าใกล้ช่วงสิ้นปี สำหรับคนทำงานส่วนใหญ่ก็คงนึกถึงการซื้อกองทุน LTF เพื่อลดหย่อนภาษี
แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ก็อาจเริ่มมองไปไกลกว่านั้น
เราจะมีเงินใช้พอไหม เมื่อเกษียณจากการทำงาน?
คำถามนี้ น่าจะทำให้หลายคนหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนเกษียณเพิ่มมากขึ้น
และถ้าเราวางแผนเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ ความรู้สึกกังวลใจเมื่อใกล้ถึงเวลาจริงก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น
เช่น ถ้าเราต้องการเกษียณตอนอายุ 55 ปี และจะต้องมีเงิน 5 ล้านบาท เราจะต้องเก็บเงินคร่าวๆ เดือนละเท่าไร?
สมมติว่า เราแบ่งเงินส่วนหนึ่งจากรายได้ทุกเดือนมาเก็บไว้เฉยๆ โดยไม่ลงทุนเลย
ถ้าตอนนี้อายุ 25 ปี เราจะต้องเก็บเงินเดือนละประมาณ 13,889 บาท
แต่ถ้าเราอายุ 40 ปี เราจะต้องเก็บเงินเดือนละประมาณ 27,778 บาท
จากตัวอย่าง เราก็จะพอเห็นภาพว่า ถ้าเราเริ่มเก็บเงินช้า เราก็ยิ่งต้องเก็บเงินต่อเดือนมากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรามีตัวช่วยที่ทำให้เราเก็บเงินต่อเดือนน้อยลง หรือเก็บเท่าเดิมแต่ได้เงินมากขึ้น
นั่นคือ การลงทุน..
ซึ่งปัจจุบันช่องทางการลงทุนเพื่อยามเกษียณมีหลายแบบ และหนึ่งในนั้นคือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นการลงทุนเพื่อยามเกษียณโดยเฉพาะ
และไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีเงินเก็บในอนาคต แต่ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีในช่วงที่เรายังทำงานมีรายได้อีกด้วย
โดยเงื่อนไขของกองทุน RMF คือ เราจะต้องซื้อกองทุนติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี และเราก็สามารถถอนออกได้ ก็ต่อเมื่ออายุ 55 ปี
สำหรับหลายคนอาจจะรู้สึกว่า เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แถมยังต้องซื้อติดต่อกันหลายปี
แต่จริงๆ แล้ว ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง RMF จะช่วยสร้างวินัยทางการเงินให้กับเรา เพราะการที่เราแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้อกองทุนที่เราจะขายได้ในวัยเกษียณ ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราบังคับให้ตัวเองรู้จักออมเงินไว้ใช้ในอนาคต
นอกจากนี้ RMF ยังมีนโยบายการลงทุนให้เราเลือกได้หลากหลายกว่า LTF ไม่ว่าเราจะมองหาการลงทุนความเสี่ยงน้อยและมั่นคงอย่าง ตราสารหนี้ หรือจะรับความเสี่ยงเพิ่มเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นกับหุ้นของบริษัทที่มีโอกาสเติบโต ก็สามารถเลือกได้ แม้กระทั่งอยากจะลงทุนหุ้นบริษัทระดับโลกในต่างประเทศ ก็เลือกได้ทั้งหมดเช่นกัน
ซึ่งตอนนี้ทาง บลจ. กรุงศรี ได้ออกกองทุนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกัน คือ
1. กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFAFIXRMF)
2. กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดี๊ดีเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFHAPPYRMF)
3. กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดีเว่อร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGOODRMF)
4. กองทุนเปิดกรุงศรีไทยออลสตาร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFSTARRMF)
5. กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลแบรนด์อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (KFGBRANRMF)
กองทุนเหล่านี้อาจจะจำแนกได้เป็น 4 ประเภทการลงทุน
ประเภทที่ 1: กองทุนรวมตราสารหนี้ มีความเสี่ยงอยู่ระดับ 4 –ปานกลางค่อนข้างต่ำ
นั่นก็คือ กองทุน KFAFIXRMF
กองทุนนี้เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ เหมาะกับคนที่คาดหวังผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก แต่รับความเสี่ยงไม่ค่อยได้
เพราะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเปิดให้ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้สูงถึง 79% ของ NAV เลย ทำให้มีตัวเลือกในการลงทุนได้มากขึ้น โอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ซึ่งตราสารหนี้ที่กองทุนนี้เลือกจะเน้นตราสารหนี้ที่ออกโดย ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และ ภาคเอกชน ที่มีความน่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศเป็นหลัก
ดูรายละเอียดกองทุน KFAFIXRMF คลิกที่นี่
ประเภทที่ 2: กองทุนรวมผสม มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 5 – ปานกลางค่อนข้างสูง
กองทุนประเภทนี้จะลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท อย่างกองทุน KFHAPPYRMF และ กองทุน KFGOODRMF
ทั้ง 2 กองทุนนี้มีการแบ่งสัดส่วนการลงทุนทั้งใน ตราสารหนี้ เงินฝาก หรือตราสารเทียบเท่าเงินฝากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และตราสารทุน ที่เป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และ หุ้นที่อยู่ระหว่าง IPO และรวมถึง Property fund และ Infrastructure fund
เรียกได้ว่าลงทุนได้ครบจบในกองทุนเดียว ทั้งสินทรัพย์เสี่ยงน้อยอย่างตราสารหนี้ และสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงอย่างหุ้น REITs และ Infras
ซึ่ง KFHAPPYRMF และ KFGOODRMF มีความแตกต่างกันที่ระดับความผันผวน
โดย KFHAPPYRMF มีความผันผวน (SD) น้อยกว่า 5%
ส่วน KFGOODRMF มีความผันผวน (SD) 10-15%
เพราะนโยบายการลงทุนของ 2 กองทุนนี้ มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่ต่างกัน โดย KFHAPPYRMF มีการลงทุนในตราสารหนี้ไม่น้อยกว่า 75% ซึ่งมากกว่า KFGOODRMF ที่สัดส่วนตราสารหนี้ต้องไม่น้อยกว่า 50%
ดูรายละเอียดกองทุน KFHAPPYRMF คลิกที่นี่ หรือกองทุน KFGOODRMF คลิกที่นี่
ประเภทที่ 3: กองทุนรวมตราสารทุน มีความเสี่ยงอยู่ระดับ 6 – สูง
กองทุน KFSTARRMF เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นไทย เลือกลงทุนได้ทั้งตลาด SET, mai และ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives)
โดยผู้จัดการกองทุนจะเลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ
รวมถึงการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในระหว่าง IPO ด้วย
จุดเด่นของกองทุนนี้ อยู่ที่กลยุทธ์การลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถลงทุนในหุ้นเด่นได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ หุ้นกลาง-เล็ก หุ้นปันผลดี หุ้นเติบโตสูง โดยผู้จัดการกองทุนจะเป็นคนทำหน้าที่คัดหุ้นและจัดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับแต่ละภาวะตลาด
นับเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาวแบบ RMF ที่อาจต้องผ่านช่วงเศรษฐกิจทั้งขึ้นและลง และผ่านช่วงเวลาที่หุ้นแต่ละประเภทจะกำไร-ขาดทุนเปลี่ยนแปลงกันไปเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตได้ยืดหยุ่นให้เหมาะกับสถานการณ์ ไม่ต้องถูกจำกัดอยู่กับหุ้นบางประเภทเท่านั้น
เมื่อดูจากสัดส่วนการลงทุน 5 อันดับแรกของกองทุนนี้ ณ วันที่ 28 ก.ย. 2561 คือ
บมจ. ปตท (PTT) 7.86%
บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) 5.17%
บมจ. ทุนธนชาต (TCAP) 4.96%
บมจ. บ้านปู (BANPU) 4.55%
บมจ. บางจาก คอร์เปอเรชั่น (BCP) 4.26%
ซึ่งเมื่อดูจากสัดส่วนของกองทุนนี้จะเห็นได้ว่า เป็นกองทุนที่เป็นบริษัทใหญ่ และอาจมีความผันผวนไปในทิศทางแบบเดียวกับตลาด
กองทุนนี้เหมาะกับคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ค่อนข้างสูง เพราะราคาหุ้นจะมีความผันผวนมากกว่าตราสารหนี้
ดูรายละเอียดกองทุน KFSTARRMF คลิกที่นี่
ประเภทสุดท้าย: กองทุนรวมต่างประเทศ มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 6 – สูง
นั่นก็คือ กองทุน KFGBRANRMF
นโยบายของกองทุนนี้เป็นการลงทุนในหุ้นทั่วโลกผ่านกองทุนหลัก(Master Fund) ที่มีชื่อว่า Morgan Stanley Investment Fund - Global Brands Fund (Class Z)
ถ้าใครที่อยากลงทุนในหุ้นต่างประเทศก็อาจจะชอบนโยบายนี้
โดยหุ้นที่อยู่ในกองทุนหลัก 5 อันดับแรก ณ วันที่ 31 ส.ค. 2561 คือ
1. Reckitt Benckiser plc. 7.91%
2. Microsoft Corp 7.44%
3. Twenty-First Century Fox Inc 6.24%
4. Unilever plc. 5.71%
5. Visa Inc 4.95%
ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าบริษัทเหล่านี้ ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ผู้ผลิตแบรนด์สินค้าหรือบริการที่เรารู้จักกันดี และอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น บริษัทของใช้อุปโภคบริโภค อย่าง Reckitt Benckiser (เจ้าของ Dettol Durex Strepsils และอีกมากมาย) หรือ Unilever ไปจนถึงซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ภาพยนตร์ และบัตรเครดิต
ดูรายละเอียดกองทุน KFGBRANRMF คลิกที่นี่
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ใครที่กำลังมองหาการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นไทย มองว่าอาจจะตอบโจทย์ได้อย่างน่าสนใจ
แต่ความเสี่ยงของกองทุนนี้ก็คือ ความผันผวนของราคาหุ้น และความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ถ้าถามว่าเราควรเลือกซื้อกองทุน RMF กองไหนดี ?
คำตอบก็คือ เราควรเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวของเรา การเลือกสินทรัพย์ที่เราเข้าใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่เรารับได้ ก็คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
และกองทุน RMF ของ บลจ. กรุงศรี มีหลากหลายนโยบายการลงทุนให้เราเลือก เพื่อตอบโจทย์การลงทุนของเราได้เป็นอย่างดี..
ดูข้อมูลกองทุนเพิ่มเติม โทร. 026575757 | www.krungsriasset.com | Line @krungsriasset
หรือธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา และตัวแทนสนับสนุนการขาย
คำเตือน:
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต และ RMF เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการลงทุนเพื่อเกษียณอายุ | กองทุน KFGBRANRMF จะไม่ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินต่างประเทศ ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.