สหรัฐอเมริกา กำลังสูญเสีย Soft Power

สหรัฐอเมริกา กำลังสูญเสีย Soft Power

15 พ.ค. 2020
สหรัฐอเมริกา กำลังสูญเสีย Soft Power /โดย ลงทุนแมน
ปี 2015 สหรัฐอเมริกามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 77 ล้านคน
สร้างรายได้เข้าประเทศ 8,000,000 ล้านบาท
ซึ่งเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อนหน้านี้
ปี 2019 สหรัฐอเมริกามีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 79 ล้านคน
สร้างรายได้เข้าประเทศ 8,200,000 ล้านบาท
แทบไม่แตกต่างจากเดิมสักเท่าไร
มันเกิดอะไรขึ้นกับเสน่ห์ดึงดูดของสหรัฐอเมริกา?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์ เจาะลึกแบบ deep content ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นมหาอำนาจของโลกที่มีความแข็งแกร่งแทบทุกด้าน
ในเรื่องเศรษฐกิจ GDP มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยมูลค่า 690,000,000 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเศรษฐกิจโลก
ในเรื่องการทหาร มีงบประมาณป้องกันประเทศ 23,000,000 ล้านบาท สูงกว่าอันดับ 2 อย่างจีนถึง 3 เท่า และประเทศนี้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ 6,185 ลูก เป็นรองเพียงแค่รัสเซีย
แต่นอกเหนือจากพละกำลังในเชิง Hard Power แล้ว
สหรัฐอเมริกายังมีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆ ในแง่ของสังคมและวัฒนธรรม หรือ “Soft Power” เป็นอย่างมาก
ด้านธุรกิจ มีบริษัทชั้นนำมากมาย เช่น Microsoft, Apple, Google, Amazon, Facebook, McDonald’s, Nike รวมถึงสตาร์ตอัปจากซิลิคอนแวลลีย์ และบริษัทการเงินย่านวอลสตรีต
ด้านวงการบันเทิง มี Hollywood ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และค่ายหนังชื่อดัง เช่น Disney, Universal, Netflix
ด้านกีฬา มีการแข่งขันที่ได้รับความนิยมสูง เช่น บาสเกตบอล NBA หรืออเมริกันฟุตบอล NFL
ด้านการศึกษา มีมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ติดอยู่ใน 10 อันดับสถาบันการศึกษาดีที่สุด เช่น Stanford, MIT, Princeton, Harvard
นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติ เช่น แกรนด์แคนยอน, อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน
หรือสถาปัตยกรรม เช่น เทพีเสรีภาพ, สะพานโกลเดนเกต
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้ดึงดูดให้ชาวต่างชาติหลงใหลในแบรนด์ของสหรัฐอเมริกาโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะต้องแปลกใจ ถ้าบอกว่า
ฐานอำนาจ Soft Power ดังกล่าว กำลังเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว
จากการจัดอันดับ Soft Power โดยบริษัทผู้เชี่ยวชาญการเมืองระหว่างประเทศ ปรากฏว่ามุมมองต่อสถานะของสหรัฐอเมริกานั้น กลับตกลงมาพอสมควร
ปี 2016 อยู่อันดับ 1
ปี 2019 อยู่อันดับ 5
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว และรายได้เข้าประเทศ ที่แทบไม่เติบโตเลยในช่วง 5 ปีหลัง
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Soft Power ของสหรัฐอเมริกา มีอิทธิพลต่อชาวโลกน้อยลง?
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ นโยบายและบทบาทในเวทีโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปหลายๆ เรื่อง
นับตั้งแต่ดอนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาใช้นโยบายแบบ America First ที่มุ่งเน้นปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และบางครั้งก็มีการตอบโต้คู่ขัดแย้งอย่างแข็งกร้าว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กรณีสงครามการค้ากับประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าคนสำคัญ และมีประชาชนเดินทางมาเที่ยวสหรัฐอเมริกาปีละ 3 ล้านคน
โดยตั้งแต่กลางปี 2018 สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 11,500,000 ล้านบาท และในภายหลัง ได้นำไปสู่การกีดกันเทคโนโลยีและแบรนด์สินค้าฝ่ายตรงข้าม
เรื่องต่อมาคือ การถอนตัวจากข้อตกลงเรื่องปัญหาโลกร้อน
เมื่อปี 2015 นานาชาติได้ลงนามข้อตกลงร่วมกันที่กรุงปารีส เพื่อลดใช้เชื้อเพลิงที่ทำลายชั้นบรรยากาศ เช่น น้ำมัน, ถ่านหิน
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาเลือกที่จะลงทุนในธุรกิจน้ำมันมากขึ้น เพราะเพิ่งค้นพบแหล่งในชั้นหินดินดานปริมาณมาก ซึ่งจะส่งเสริมการจ้างงาน
แต่ในทางกลับกัน ก็สร้างความกังวลถึงมลพิษทางอากาศของประเทศในอนาคต
อีกเรื่องที่สหรัฐอเมริกาถอนตัวคือ ข้อตกลงนิวเคลียร์กับประเทศอิหร่าน รวมทั้งประกาศคว่ำบาตรเพิ่มเติมด้วย
เนื่องจากเชื่อว่ามีส่วนสนับสนุนการก่อการร้าย จนเกิดเป็นปฏิบัติการลอบสังหารผู้นำระดับสูงของอิหร่าน และมีการโจมตีตอบโต้กัน เมื่อตอนต้นปี 2020
หากวันข้างหน้า มีการปะทะกันรุนแรงขึ้นอีก ก็น่าจะสร้างความไม่สบายใจต่อความปลอดภัยของชีวิตคนทั้งโลก ไม่ใช่แค่ในสองประเทศเท่านั้น
และล่าสุด สหรัฐอเมริกากำลังเจอบททดสอบครั้งใหญ่ ที่มาในรูปแบบของโรคระบาด
ศูนย์กลางการระบาดของ COVID-19 มีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนลุกลามไปหลายประเทศในยุโรป และปัจจุบันย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2020 ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อ 1.4 ล้านราย และเสียชีวิตกว่า 8 หมื่นราย ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสุดในโลก
ทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความล่าช้าในการเตรียมตัวรับมือ อีกทั้งยังเกิดปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และมีความพยายามกล่าวโทษจีนว่าเป็นต้นเหตุของโรคระบาดอยู่หลายครั้ง
จากกรณีสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 สหรัฐอเมริกาจึงสูญเสียความน่าเชื่อถือไปมาก
นี่คงเป็นบทเรียนที่ดีว่า
Soft Power นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่แพ้ Hard Power
เพราะมันสามารถโน้มน้าวให้คนมาอยู่ข้างเราได้ โดยไม่ต้องใช้เงินหรือกำลังบังคับ
แต่ต้องพึงระวังเอาไว้เสมอด้วยว่า
ถึงแม้เราจะสั่งสมเครดิตความน่าเชื่อมาเป็นเวลานานหลายปี
มันก็มีโอกาสหายไปได้ง่ายๆ ในชั่วพริบตา
และถ้าถามว่า ตอนนี้ผู้คนทั่วโลกยังมองว่าสหรัฐอเมริกามี Soft Power ที่แข็งแกร่งหรือไม่
คำตอบที่ได้ ก็อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..
----------------------
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์ เจาะลึกแบบ deep content ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
----------------------
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.cnbc.com/2020/02/25/the-us-is-the-worlds-top-soft-power-but-trump-has-damaged-its-reputation.html
-https://www.wired.com/story/china-flexes-soft-power-covid-diplomacy/
-https://softpower30.com/country/united-states/
-https://www.ceicdata.com/en/indicator/united-states/tourism-revenue
-https://www.ceicdata.com/en/indicator/united-states/visitor-arrivals
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_military_expenditures
-https://www.timeshighereducation.com/world-university-rankings/2020/world-ranking
-https://www.bbc.com/news/business-45899310
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.