สรุปเส้นทาง โจ ไบเดน ฉบับสมบูรณ์

สรุปเส้นทาง โจ ไบเดน ฉบับสมบูรณ์

9 พ.ย. 2020
สรุปเส้นทาง โจ ไบเดน ฉบับสมบูรณ์ /โดย ลงทุนแมน
“โจ ไบเดน” ชื่อนี้ คงเป็นชื่อที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในเวลานี้
ชายวัยใกล้ครบ 78 ปีคนนี้ คือคนที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
และกำลังจะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลกในอีกอย่างน้อย 4 ปีข้างหน้า
เส้นทางของ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ที่นามว่า โจ ไบเดน เป็นอย่างไร?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ (Joseph Robinette Biden Jr.) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “โจ ไบเดน” เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1942 ณ เมือง Scranton รัฐเพนซิลเวเนีย รัฐหนึ่งทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา
ไบเดน เป็นลูกชายคนโตสุดในครอบครัว ซึ่งเขามีน้องชายอีก 2 คน และน้องสาวอีก 1 คน
เมื่ออายุได้ 10 ขวบ ครอบครัวของ ไบเดน ย้ายจากเพนซิลเวเนีย ไปอยู่ที่รัฐเดลาแวร์
เขาเติบโตขึ้นที่เดลาแวร์ และได้ศึกษาระดับปริญญาตรีคณะศิลปศาสตร์ สาขาประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จาก University of Delaware ในปี 1965
ปี 1966 ขณะอายุ 24 ปี โจ ไบเดน แต่งงานกับ Neilia Hunter ก่อนจะมีลูกด้วยกัน 3 คน
ไบเดน ตัดสินใจศึกษาปริญญาตรีอีกใบในด้านกฎหมาย และสำเร็จการศึกษาจาก Syracuse University College of Law ในรัฐนิวยอร์ก ในปี 1968
เรื่องที่น่าสนใจก็คือ โจ ไบเดน เริ่มก้าวขาเข้าสู่งานด้านการเมือง ด้วยการชักชวนจากสมาชิกพรรค “รีพับลิกัน”
เมื่อเรียนจบด้านกฎหมาย โจ ไบเดน เข้าทำงานในสำนักงานกฎหมายวิลมิงตัน ซึ่งเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีเจ้าของเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน
โจ ไบเดน แสดงความสามารถเรื่องกฎหมายได้เข้าตา จนนักการเมืองฝั่งรีพับลิกันชักชวนให้เขาเข้ามาทำงานด้านการเมือง
แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือ เขาไม่ชอบนโยบายของ Richard Nixon ผู้นำพรรครีพับลิกันในตอนนั้น เขาจึงตัดสินใจทำงานการเมืองด้วยสังกัด “พรรคอิสระ” คือไม่สังกัดพรรคใดๆ เลย
ต่อมาในปี 1969 โจ ไบเดน ได้เข้าทำงานกับสำนักงานกฎหมายที่นำโดยสมาชิกพรรคเดโมแครต เขาทำผลงานได้เข้าตาอีกครั้ง และตัดสินใจสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครต
ซึ่งคราวนี้ เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเขต นิว คาสเซิล เคาน์ตี้ ในรัฐเดลาแวร์ หลังจากเข้าร่วมพรรคเดโมแครตได้เพียงไม่ถึงหนึ่งปี
หลังจากสั่งสมประสบการณ์ด้านการเมืองได้ 4 ปี จุดเปลี่ยนสำคัญของ โจ ไบเดน ก็มาถึง
ช่วงปลายปี 1972 ขณะที่อายุ 29 ใกล้ 30 ปี
โจ ไบเดน ได้รับการเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐเดลาแวร์
ซึ่งทำให้เขาเป็นหนึ่งในวุฒิสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา
แต่ชัยชนะและความสำเร็จอันน่ายินดีของเขาในตอนนั้น กลับตามมาด้วยโศกนาฏกรรมของครอบครัวอย่างที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัว..
ช่วง ธันวาคม ปีเดียวกันนั้นเอง เพียงไม่ถึงเดือนหลังจากชัยชนะที่ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์
ภรรยาและลูกๆ ของโจ ไบเดน ประสบอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นี้ ทำให้ภรรยาและลูกสาวคนสุดท้องของเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และขณะนำส่งโรงพยาบาลในวันนั้น
ขณะที่ลูกชายทั้งสอง บาดเจ็บสาหัสจนต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน
เรื่องนี้ทำให้ โจ ไบเดน ต้องปฏิญาณตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งวุฒิสมาชิก ที่ข้างเตียงของลูกๆ ในโรงพยาบาล
และเดินทางไปมาระหว่างทำเนียบขาวในรัฐวอชิงตัน ดี.ซี. และโรงพยาบาลในเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ที่อยู่ห่างกันกว่า 190 กิโลเมตร เกือบทุกวัน เพื่อทำงานและกลับมาเจอหน้าลูกๆ
จนเมื่อลูกๆ โตขึ้นและเข้าโรงเรียน
ในปี 1975 โจ ไบเดน ก็ได้พบรักกับคุณครูสอนภาษาอังกฤษ
และได้ตกลงแต่งงานกันในอีกสองปีถัดมา
ภรรยาคนที่สองของเขาที่ว่านี้ ชื่อว่า จิลล์ ไบเดน
และเธอคนนี้เอง ที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็น “สตรีหมายเลข 1” คนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
จากจุดเริ่มต้นการเป็นวุฒิสมาชิกรัฐเดลาแวร์ในปี 1973 ของโจ ไบเดน
รู้หรือไม่ว่า เขาได้รับการเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐแห่งนี้ ติดต่อกันถึง 6 สมัย คือช่วงปี 1973-2009 ซึ่งรวมแล้วเป็นเวลาถึง 36 ปี เลยทีเดียว
โดยหน้าที่ ที่โดดเด่นของเขา ขณะดำรงตำแหน่งนี้ เช่น
- เป็นประธานและสมาชิก ในคณะกรรมการตุลาการวุฒิสภา (The Senate Judiciary Committee)
ซึ่งมีบทบาทในการดูแลการทำงานของกระทรวงยุติธรรมในสหรัฐฯ, เสนอชื่อตุลาการ และคอยตรวจสอบทบทวนกฎหมายที่รอการดำเนินการอนุมัติ
- เป็นประธานและสมาชิก ในคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภา (The Senate Foreign Relations Committee)
โดย โจ ไบเดน เป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทความสำคัญ ในการเดินทางไปเยือน และสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศ
ไบเดน ยังเคยรับหน้าที่เป็นประธานร่วม (co-chairman) ขององค์การ NATO
ที่ทำหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเรื่องสงครามและการก่อการร้าย โดยเฉพาะในยุโรปและตะวันออกกลาง
ด้วยประสบการณ์ด้านการเมืองอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 1973 จนถึงปี 2009 ทำให้ผลงานและชื่อเสียงของ โจ ไบเดน ไปชนะใจของอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา จากพรรคเดโมแครต
โจ ไบเดน จึงได้รับเลือกจาก โอบามา ให้เป็น “รองประธานาธิบดี” ในทั้งสองสมัยที่ โอบามา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในปี 2009-2017
หลังสิ้นสุดการทำหน้าที่ 8 ปี ในฐานะรองประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว
โจ ไบเดน ได้กลับมาที่รัฐเดลาแวร์อีกครั้ง
พร้อมก่อตั้งหลายมูลนิธิเพื่อผู้ขาดแคลนโอกาสและประสบความทุกข์ยากในสหรัฐฯ
เช่น กองทุนเพื่อการต่อสู้โรคมะเร็ง เนื่องจากในปี 2015 ลูกชายคนโต “Beau Biden” วัย 46 ปี ก็เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง
ในเดือนเมษายน ปี 2019 โจ ไบเดน เลือกที่จะสร้างความท้าทายครั้งใหม่ให้ตัวเองอีกครั้ง
ด้วยการประกาศลงสมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา
แล้วทุกอย่างก็เดินทางมาจนถึงวันนี้
เขากำลังจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ในวัยกำลังจะครบ 78 ปี ในฐานะตัวแทนจากพรรคเดโมแครต หลังจากมีการเผยผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ (Projected Winner)
โดย โจ ไบเดน มีจำนวนคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral College มากกว่า 270 เสียง เอาชนะ ดอนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ไปได้
ทำให้ โจ ไบเดน จะสร้างสถิติใหม่ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดขณะได้รับเลือก (ซึ่งเจ้าของสถิติเดิมก็คือ ดอนัลด์ ทรัมป์ ที่มีอายุ 70 ปี ขณะเข้ารับตำแหน่ง)
และหลังจากนี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า
โจ ไบเดน จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐกิจและการเมืองโลกไปในทิศทางไหน ในฐานะที่สหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์หนึ่งในเรื่องขนาดเศรษฐกิจในโลกใบนี้
ซึ่งเราคงได้เห็นทิศทางการดำเนินนโยบาย ที่แตกต่างออกไปจากสี่ปีที่ผ่านมาไม่น้อย
เพราะ โจ ไบเดน ได้นำเสนอนโยบายต่างๆ ในช่วงหาเสียง ที่ค่อนข้างสวนทางกับทางฝั่ง ดอนัลด์ ทรัมป์
โดยนโยบายที่น่าสนใจของ โจ ไบเดน ก็อย่างเช่น
- ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ซึ่งจะใช้งบประมาณโครงการกว่า 21 ล้านล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน, การสื่อสารด้วย 5G, รถยนต์ไฟฟ้า และปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- เพิ่มภาษีนิติบุคคล จาก 21% เป็น 28% ขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา อัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากเดิมอยู่ที่ 37% และเตรียมเก็บภาษี Capital Gain ในอัตราเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี
จะเห็นว่า โจ ไบเดน มีความเห็นสวนทางกับ ดอนัลด์ ทรัมป์ ในเรื่องจัดเก็บภาษี
โดย โจ ไบเดน มองว่าสหรัฐฯ ควรเก็บภาษีได้มากขึ้น เพื่อนำเงินภาษีที่ได้ไปกระจายการพัฒนาประเทศให้ครอบคลุมคนอเมริกันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องสาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน และบริการสาธารณะต่างๆ
ส่วน ดอนัลด์ ทรัมป์ มองต่างกัน คือเน้นเก็บภาษีนิติบุคลลในอัตราต่ำ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเติบโตและแข่งขันอย่างเต็มที่ในภาคธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต การจ้างงาน และความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ
นอกจากนี้ โจ ไบเดน ยังให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียน อีกทั้งจะนำสหรัฐฯ กลับสู่ข้อตกลงปารีส และผลักดันให้สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ยุติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2050
แตกต่างกับนโยบายของ ดอนัลด์ ทรัมป์ ที่จะยังคงใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำมันและถ่านหิน
นโยบายอื่นๆ ที่น่าสนใจ ก็เช่น เปลี่ยนจากการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน มาเป็นพันธมิตรกับนานาประเทศ เพื่อกดดันจีนแทน และนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้แรงงานในสหรัฐฯ ขึ้นอีกเท่าตัว
ส่วนความท้าทายที่รออยู่ของ โจ ไบเดน ก็คงมีอยู่ไม่น้อย
ทั้งเรื่องวิกฤติโรคระบาด ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจภายในประเทศ
และความท้าทายในด้านเศรษฐกิจรวมถึงการค้าโลก ที่ตอนนี้ จีน กำลังตีตื้นสหรัฐอเมริกาขึ้นมาใกล้ทุกที ทั้งด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี
ก็น่าสนใจว่า
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลก
จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่
ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ที่ชื่อว่า “โจ ไบเดน”..
----------------------
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
----------------------
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
© 2024 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.