
“ขาดทุนสะสม” คืออะไร ?
[ประเด็นสำคัญ] ขาดทุนสะสม คือ ผลรวมของทั้งกำไรและขาดทุนที่สะสมมาตั้งแต่วันแรกที่กิจการเริ่มประกอบธุรกิจ โดยที่ผลรวมดังกล่าวมีค่าเป็นลบ
หากเราเป็นเจ้าของบริษัท ทำธุรกิจมีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง
ผลรวมของกำไรขาดทุนของเรา หากเรายังไม่ได้เอาไปทำอะไร
เราจะเรียกเงินทั้งก้อนรวม ๆ กันว่า “กำไรสะสม”
ผลรวมของกำไรขาดทุนของเรา หากเรายังไม่ได้เอาไปทำอะไร
เราจะเรียกเงินทั้งก้อนรวม ๆ กันว่า “กำไรสะสม”
ทีนี้ หากธุรกิจขาดทุนต่อเนื่อง ซึ่งก็อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด
จากกำไรสะสม ก็อาจจะกลายมาเป็นผลลบ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า “ขาดทุนสะสม” ได้เหมือนกัน
จากกำไรสะสม ก็อาจจะกลายมาเป็นผลลบ หรือเราเรียกอีกอย่างว่า “ขาดทุนสะสม” ได้เหมือนกัน
วันนี้เรามาดูกันว่าขาดทุนสะสม คำนวณอย่างไร
กระทบอะไรต่อธุรกิจ และเราจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ?
กระทบอะไรต่อธุรกิจ และเราจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ?
เราลองมาดูงบแสดงฐานะทางการเงินกันก่อน
งบแสดงฐานะทางการเงิน ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ สินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้ถือหุ้น
สามารถแทนเป็นสมการง่าย ๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
สามารถแทนเป็นสมการง่าย ๆ คือ สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ซึ่งส่วนของผู้ถือหุ้น ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว
- ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น
- กำไร (ขาดทุน) สะสม
- ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น
- กำไร (ขาดทุน) สะสม
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติว่า บริษัท A มีจำนวน 20,000,000 หุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท
แสดงว่า บริษัท A มีทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นได้ชำระค่าหุ้นทั้งหมด เพื่อให้บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ
แสดงว่า บริษัท A มีทุนจดทะเบียน 10,000,000 บาท ซึ่งผู้ถือหุ้นได้ชำระค่าหุ้นทั้งหมด เพื่อให้บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจ
ดังนั้น บริษัท A จะมีเงินทุนเริ่มต้น 10,000,000 บาท
ตรงนี้จะเรียกว่า ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว
ตรงนี้จะเรียกว่า ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว
ซึ่งเมื่อบริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจ แล้วสามารถสร้างกำไร หรือขาดทุนก็ตาม
ตรงนี้ จะถูกบันทึกในส่วนของ กำไร (ขาดทุน) สะสม ด้วย
ตรงนี้ จะถูกบันทึกในส่วนของ กำไร (ขาดทุน) สะสม ด้วย
ถ้าบริษัททำธุรกิจแล้วมีกำไร จะทำให้ กำไร (ขาดทุน) สะสม เพิ่มขึ้น
กลับกัน ถ้าขาดทุน จะทำให้ กำไร (ขาดทุน) สะสม ลดลง
กลับกัน ถ้าขาดทุน จะทำให้ กำไร (ขาดทุน) สะสม ลดลง
ผ่านมา 2 ปี บริษัท A สามารถทำผลกำไรได้ปีละ 1,000,000 บาท
ดังนั้น บริษัท A จะมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท
ดังนั้น บริษัท A จะมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท
เมื่อรวมทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว กับกำไรสะสม
จะได้ว่า บริษัท A มีส่วนของผู้ถือหุ้น 12,000,000 บาท
จะได้ว่า บริษัท A มีส่วนของผู้ถือหุ้น 12,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ปีที่ 3 บริษัทดันเกิดขาดทุนอย่างหนัก 7,000,000 บาท
แปลว่า จากที่บริษัทมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท จะกลายเป็นขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท
แปลว่า จากที่บริษัทมีกำไรสะสมอยู่ที่ 2,000,000 บาท จะกลายเป็นขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท
ในขณะที่ ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ ปีที่ 3 จะลดลงเหลือ 5,000,000 บาท
โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 10,000,000 บาท หักกับขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท นั่นเอง
คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วการขาดทุนสะสม จะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทบ้าง ?
โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 10,000,000 บาท หักกับขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท นั่นเอง
คำถามที่น่าสนใจคือ แล้วการขาดทุนสะสม จะส่งผลอย่างไรต่อบริษัทบ้าง ?
ตามกฎหมาย แม้ว่าบริษัทจะขาดทุนในปีนั้น ๆ
ถ้ายังคงมีกำไรสะสมอยู่ บริษัทก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้
แต่ถ้าบริษัทมีขาดทุนสะสม บริษัทจะต้องมีการล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน
ถ้ายังคงมีกำไรสะสมอยู่ บริษัทก็ยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้
แต่ถ้าบริษัทมีขาดทุนสะสม บริษัทจะต้องมีการล้างขาดทุนสะสมให้หมดเสียก่อน
อย่างไรก็ตาม ในหลายบริษัท กว่าจะสามารถนำกำไร มาล้างขาดทุนสะสมจนหมดได้ อาจต้องใช้เวลานานหลายปี
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จึงเกิดแนวคิด นำส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม
ซึ่งส่วนเกินมูลค่าหุ้น คือ ส่วนต่างของราคาหุ้นกับราคาพาร์ ที่บริษัทได้มีการระดมทุนเพิ่ม
ถ้าบริษัทสามารถระดมทุนที่ราคาหุ้นสูงกว่าราคาพาร์ จะทำให้เกิดส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น เพิ่มขึ้น
กลับกัน ถ้าระดมทุนที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์ จะทำให้ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น ลดลง
กลับกัน ถ้าระดมทุนที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพาร์ จะทำให้ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น ลดลง
แล้วส่วนเกินมูลค่าหุ้น มาล้างขาดทุนสะสมได้อย่างไร ?
กลับมาที่ บริษัท A ได้มีการระดมทุนเพิ่มทุน 10,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ที่ราคาพาร์ 0.50 บาท
แปลว่า บริษัทมีเงินทุนเพิ่มเข้ามา 10,000,000 บาท แบ่งได้เป็น
ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 5,000,000 บาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท
ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 5,000,000 บาท และส่วนเกินมูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท
ดังนั้น บริษัทจากที่มี 20,000,000 หุ้น กลายเป็น 30,000,000 หุ้น
ส่วนผู้ถือหุ้นจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 15,000,000 บาท ตรงนี้จะแบ่งได้เป็น
ส่วนผู้ถือหุ้นจาก 5,000,000 บาท กลายเป็น 15,000,000 บาท ตรงนี้จะแบ่งได้เป็น
- ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 15,000,000 บาท
- ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท
- กำไร (ขาดทุน) สะสม -5,000,000 บาท
- ส่วนเกิน (ต่ำกว่า) มูลค่าหุ้น 5,000,000 บาท
- กำไร (ขาดทุน) สะสม -5,000,000 บาท
จะเห็นได้ว่า ส่วนเกินมูลค่าหุ้นทั้งหมด สามารถนำไปล้างขาดทุนสะสม ได้หมดพอดี
หรือในกรณีบริษัทไม่มีส่วนเกินมูลค่าหุ้น เราอาจจะเห็นการใช้วิธีลดทุนจดทะเบียนได้เช่นกัน โดยจะมี 2 วิธี คือ
1. การลดจำนวนหุ้น
2. การลดราคาพาร์
2. การลดราคาพาร์
คราวนี้ บริษัท A ตัดสินใจล้างขาดทุนสะสม 5,000,000 บาท ด้วยวิธีลดทุนจดทะเบียน
เมื่อบริษัทเลือกที่จะใช้วิธีที่ 1 คือ ลดจำนวนหุ้นลงจาก 20,000,000 หุ้น เหลือ 10,000,000 หุ้น แต่ราคาพาร์ยังคงไว้ที่หุ้นละ 0.50 บาท
หรือกรณีใช้วิธีที่ 2 บริษัทเลือกลดราคาพาร์ จาก 0.50 บาท เหลือ 0.25 บาท แต่จำนวนหุ้นยังคงไว้ 20,000,000 หุ้น
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 วิธี จะทำให้เกิดส่วนเกินทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วขึ้นมา 5,000,000 บาท ซึ่งสามารถนำส่วนเกินทุนนี้ ไปล้างขาดทุนสะสมได้หมดพอดี
ดังนั้น ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท A หลังเกิดการลดทุนจดทะเบียน จะอยู่ที่ 5,000,000 บาท
โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัท A จาก 10,000,000 บาท ลดลงเหลือ 5,000,000 บาท ซึ่ง 5,000,000 บาทที่หายไปนั้น จะถูกนำไปล้างขาดทุนสะสม
โดยเกิดจาก ทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัท A จาก 10,000,000 บาท ลดลงเหลือ 5,000,000 บาท ซึ่ง 5,000,000 บาทที่หายไปนั้น จะถูกนำไปล้างขาดทุนสะสม
สุดท้าย ทั้งการใช้ส่วนเกินมูลค่าหุ้น และการลดทุนจดทะเบียน ก็สามารถทำให้บริษัท A ล้างขาดทุนสะสมได้เช่นกัน
ถึงตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า การล้างขาดทุนสะสม ด้วยวิธีดังกล่าว เป็นเทคนิคทางบัญชีอย่างหนึ่ง
โดยเป็นเพียงการย้ายรายการต่าง ๆ ที่อยู่ภายในส่วนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น
โดยเป็นเพียงการย้ายรายการต่าง ๆ ที่อยู่ภายในส่วนของผู้ถือหุ้นเท่านั้น
ซึ่งเมื่อตัวเลขขาดทุนสะสมถูกล้างจนหมด และบริษัทเริ่มมีกำไร
ก็จะสามารถจ่ายปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้ในอนาคตนั่นเอง..
ก็จะสามารถจ่ายปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้ในอนาคตนั่นเอง..