
Bill Ackman เตือน ภาษีของทรัมป์ พาเศรษฐกิจเข้าสู่ฤดูหนาว ตลาดพัง ธุรกิจหยุดลงทุน เลิกจ้างงาน
Bill Ackman เตือน ภาษีของทรัมป์ พาเศรษฐกิจเข้าสู่ฤดูหนาว ตลาดพัง ธุรกิจหยุดลงทุน เลิกจ้างงาน /โดย ลงทุนแมน
Bill Ackman คือมหาเศรษฐีนักลงทุน และผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง
ที่ผ่านมา เขามักให้มุมมองด้านการลงทุน เศรษฐกิจ และการเมือง เป็นระยะ ๆ ซึ่งมีนักลงทุนทั่วโลกที่ติดตามเขา
Bill Ackman คือมหาเศรษฐีนักลงทุน และผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง
ที่ผ่านมา เขามักให้มุมมองด้านการลงทุน เศรษฐกิจ และการเมือง เป็นระยะ ๆ ซึ่งมีนักลงทุนทั่วโลกที่ติดตามเขา
และครั้งนี้ก็ด้วยเช่นกัน ที่เขาได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเตือนว่า การเก็บภาษีในวงกว้าง อาจนำไปสู่ "ฤดูหนาวทางเศรษฐกิจ"
Bill Ackman ได้โพสต์แสดงมุมมองต่อเรื่องนี้ บนแพลตฟอร์ม X ว่า..
ประเทศของเรา สนับสนุนประธานาธิบดีอย่างเต็มที่ ในการแก้ไขระบบภาษีการค้าโลกที่เอาเปรียบสหรัฐอเมริกา มาโดยตลอด
แต่โลกของธุรกิจคือเกมแห่ง “ความเชื่อมั่น (Confidence)” และความเชื่อมั่นนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ความไว้ใจ (Trust)”
แต่โลกของธุรกิจคือเกมแห่ง “ความเชื่อมั่น (Confidence)” และความเชื่อมั่นนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ “ความไว้ใจ (Trust)”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกระดับประเด็นเรื่องภาษีการค้า ให้กลายเป็นหนึ่งในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของโลก และเขาก็ประสบความสำเร็จในการดึงความสนใจจากทุกฝ่าย
จนถึงตอนนี้ ก็ถือว่าทำได้ดี
จนถึงตอนนี้ ก็ถือว่าทำได้ดี
และใช่ ประเทศอื่น ๆ ได้หาผลประโยชน์จากสหรัฐฯ มายาวนาน ด้วยการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศของตัวเอง ในขณะที่สร้างความเสียหายต่อ “งานหลายล้านตำแหน่ง” และการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
แต่ในทางกลับกัน การใช้มาตรการภาษีที่รุนแรงและไม่สมดุล กับทั้งพันธมิตรและศัตรู ในเวลาเดียวกัน กลับกลายเป็นการประกาศ “สงครามเศรษฐกิจระดับโลก”
และสหรัฐฯ กำลังทำลายความเชื่อมั่นที่โลกมีต่อสหรัฐฯ ในฐานะ “คู่ค้าทางการค้า” “สถานที่ทำธุรกิจ” และ “ตลาดสำหรับการลงทุน”
และสหรัฐฯ กำลังทำลายความเชื่อมั่นที่โลกมีต่อสหรัฐฯ ในฐานะ “คู่ค้าทางการค้า” “สถานที่ทำธุรกิจ” และ “ตลาดสำหรับการลงทุน”
ตอนนี้ทรัมป์ มีโอกาสที่จะประกาศ “หยุดพัก 90 วัน” เพื่อเข้าสู่การเจรจาและแก้ไขข้อตกลงภาษีที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ และถ้าทำได้สำเร็จ อาจนำมาซึ่งการลงทุนระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ เข้าสู่ประเทศของเรา
แต่ถ้าหากในวันที่ 9 เมษายนนี้ สหรัฐฯ ตัดสินใจเปิดฉาก “สงครามเศรษฐกิจนิวเคลียร์” ต่อทุกประเทศในโลกพร้อมกัน
การลงทุนของภาคธุรกิจ จะหยุดชะงักทันที ผู้บริโภคจะปิดกระเป๋าสตางค์ของพวกเขา
การลงทุนของภาคธุรกิจ จะหยุดชะงักทันที ผู้บริโภคจะปิดกระเป๋าสตางค์ของพวกเขา
และเราจะทำลายภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง จนต้องใช้เวลาเป็น “หลายปี” หรืออาจจะ “หลายสิบปี” กว่าจะฟื้นกลับมาได้..
ในสถานการณ์แบบนั้น CEO คนไหน หรือบอร์ดบริหารชุดไหน จะกล้าทำการลงทุนระยะยาวในประเทศ ที่กำลังอยู่ท่ามกลางสงครามเศรษฐกิจระดับโลก ?
ผมยังไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว ที่จะกล้าทำเช่นนั้น..
ผมยังไม่รู้จักแม้แต่คนเดียว ที่จะกล้าทำเช่นนั้น..
เมื่อตลาดพัง การลงทุนหยุด ผู้บริโภคหยุดใช้จ่าย ธุรกิจก็จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลดการลงทุน และเลิกจ้างพนักงาน
และมันไม่ได้กระทบแค่บริษัทใหญ่เท่านั้น ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และผู้ประกอบการ จะได้รับผลกระทบที่เจ็บปวดยิ่งกว่า
แทบไม่มีธุรกิจไหนที่สามารถ “ผลักภาระต้นทุนที่พุ่งขึ้นอย่างมหาศาลในชั่วข้ามคืน” ไปให้ลูกค้าได้
แทบไม่มีธุรกิจไหนที่สามารถ “ผลักภาระต้นทุนที่พุ่งขึ้นอย่างมหาศาลในชั่วข้ามคืน” ไปให้ลูกค้าได้
และนี่ยังไม่นับรวมความจริงที่ว่า ระบบการเงินสหรัฐฯ ในปัจจุบัน “มีภาระหนี้สินในระดับสูงมหาศาล”
ธุรกิจคือเกมแห่งความเชื่อมั่น และตอนนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังสูญเสีย “ความเชื่อมั่นจากผู้นำธุรกิจทั่วโลก”
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศของเรา และต่อประชาชนหลายล้านคน ที่เคยสนับสนุนประธานาธิบดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คนที่มีรายได้น้อย” ซึ่งกำลังเผชิญกับความกดดันทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว จะเลวร้ายอย่างรุนแรง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราเลือกไว้ในการลงคะแนนเสียง
ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังมีโอกาสในวันจันทร์ ที่จะขอหยุดพักสงครามภาษี และใช้เวลานั้นเพื่อแก้ไขระบบภาษีที่ไม่เป็นธรรมอย่างจริงจัง
แต่ถ้าไม่ เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ "ฤดูหนาวทางเศรษฐกิจ" ที่เราก่อขึ้นกับตัวเอง และเราควรเริ่มเตรียมตัวรับมืออย่างจริงจัง..
“ขอให้คนที่มีสติ มีความเยือกเย็น และมีเหตุผล เป็นฝ่ายชนะ“