วิเคราะห์ Thunder Express ในมุมการเงิน จากซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน”

วิเคราะห์ Thunder Express ในมุมการเงิน จากซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน”

วิเคราะห์ Thunder Express ในมุมการเงิน จากซีรีส์ “สงคราม ส่งด่วน” /โดย ลงทุนแมน
คำเตือน: บทความนี้ มีการสปอยล์เนื้อหาซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน
ซีรีส์สงครามส่งด่วน เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยสงครามทางธุรกิจของสันติ เด็กหนุ่มที่อยากปั้นสตาร์ตอัปขนส่ง เพื่อแก้แค้นที่โดนหักหลังจากหุ้นส่วนธุรกิจ
แต่นอกจากเรื่องราวที่เข้มข้นแล้ว จริง ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ก็แทรกเนื้อหาการเงินได้น่าสนใจ จนนำมาเป็นบทเรียนการเงินเรื่องธุรกิจให้คนดูได้อย่างดี
แล้วมีบทเรียนการเงินอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็ขอให้เลื่อนผ่านโพสต์นี้ไปก่อน เพราะมีสปอยเนื้อหาบางส่วน
แต่ถ้าใครดูแล้ว ก็เลื่อนอ่านต่อไปได้เลย
บทเรียนการเงินที่น่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้ อยู่ที่การประเมินมูลค่าสตาร์ทอัปและการถือหุ้นในบริษัท
สันติเริ่มต้นทำธุรกิจขนส่งกับกลุ่มคณิน กรุ๊ป โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 100 ล้านบาท แบ่งการถือหุ้นออกเป็น 3 กลุ่มสำคัญ คือ
- บริษัทขนส่งจีน ถือหุ้น 51%
- กลุ่มคณิน กรุ๊ป ถือหุ้น 30%
- สันติ ถือหุ้น 19%
ที่เป็นแบบนี้ ก็มาจากข้อมูลเบื้องต้นในซีรีส์ ที่บอกว่าสันติลงทุน 19 ล้านบาท ส่วนเจ้าสัวคณินถือหุ้น 30 ล้านบาท และมีฝั่งทุนจีนถือหุ้นอยู่ 51%
แต่ต่อมา ทุนจดทะเบียนของบริษัทขนส่งแห่งนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ซึ่งแปลว่า สัดส่วนการถือหุ้นของสันติจะลดลง เพราะมีจำนวนเงินลงทุนเท่าเดิม
ส่วนกลุ่มคณิน และบริษัทขนส่งจีน ถือสัดส่วนหุ้นมากขึ้น เพราะใส่เงินเพิ่ม
จากเดิมที่สันติถือหุ้นถึง 19% ก็เหลือเพียง 1.9% ที่แทบไม่มีอำนาจการตัดสินใจในบริษัทเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมสันติถึงรู้สึกโกรธมาก เพราะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายเล็กไปโดยทันที
อีกทั้งยังหลุดจากตำแหน่ง CEO ที่ตกลงว่าจะได้รับตั้งแต่แรก
ต่อมา หลังจากที่สันติ ออกมาก่อตั้งสตาร์ตอัปขนส่งใหม่กับรุ่ยเจี๋ย ที่จะมาทำหน้าที่ตำแหน่ง CTO และเสี่ยวหยู ที่จะมาทำหน้าที่ตำแหน่ง CFO ของบริษัท
เพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำร้อยเดิม สตาร์ตอัปที่ก่อตั้งขึ้น จึงต้องมีคนที่เรียกว่า Keyman ที่คอยควบคุมเสียงส่วนใหญ่ผ่านการถือหุ้นบริษัทใหม่เอาไว้
- สันติถือหุ้น 65%
- รุ่ยเจี๋ยถือหุ้น 30%
- เสี่ยวหยูถือหุ้น 5%
ซึ่งต่อมา ก็มีไฮไลต์สำคัญเกิดขึ้น หลังจากมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบริษัท เสนอให้เงินทุน 15 ล้านเหรียญ หรือราว 495 ล้านบาท แลกกับหุ้นส่วน 30%
แต่ปัญหาคือ ตอนแรกบริษัทเสนอขอเงินทุน 15 ล้านเหรียญ แลกกับหุ้นส่วนแค่ 15% เท่านั้น
สุดท้ายสันติ ก็ยังยืนกรานคำเดิม ที่ให้หุ้นกับนักลงทุนแค่ 15% แลกกับเงินทุน 15 ล้านเหรียญ
ถ้าถามว่า ทำไมสันติต้องทำแบบนี้ คำตอบก็เพราะว่า มูลค่าบริษัทที่ถูกประเมินไว้มันแตกต่างกันมาก
จากเดิม ถ้านักลงทุนถือหุ้น 15% แลกกับเงินราว 495 ล้านบาท มูลค่าบริษัททั้งหมด ก็คำนวณกลับไปจากการถือหุ้นนั้นอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท
แต่นักลงทุนกลับเสนอถือหุ้น 30% แลกกับเงินทุนเท่าเดิม ก็แปลว่ามูลค่าบริษัททั้งหมดอยู่ที่ 1,650 ล้านบาทเท่านั้น
เรียกได้ว่า ดูแค่นี้ก็คงเห็นภาพว่า มูลค่าบริษัทที่ถูกประเมินแตกต่างกันกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว
ซึ่งก็หมายถึงมูลค่าหุ้นของบรรดาผู้ก่อตั้งด้วย
คำถามคือ แล้วนักลงทุนคนนั้นประเมินมูลค่าสตาร์ตอัปขนส่งของสันติอย่างไร ?
จริง ๆ ต้องบอกว่า มีหลายวิธีในการประเมินมูลค่ากิจการ โดยเฉพาะสตาร์ตอัปที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและไม่ทำกำไร
เช่น วิธี Price-To-Sales Ratio (P/S) หรือ มูลค่าบริษัทต่อรายได้ ที่พูดง่าย ๆ แบบภาษาทั่วไปคือ มูลค่าบริษ้ทนั้นคิดเป็นกี่เท่าของรายได้
ยกตัวอย่างง่าย ๆ จากสตาร์ตอัปด้านโซเชียลมีเดียแห่งหนึ่ง สร้างรายได้อยู่ที่ 100 ล้านบาทในปีล่าสุด ซึ่งสมมติว่า นักลงทุนประเมินให้ธุรกิจโซเชียลมีเดียหน้าใหม่ มีค่า P/S อยู่ที่ 10 เท่าของรายได้
ดังนั้น สตาร์ตอัปนี้ จะมีมูลค่าบริษัทราว 1,000 ล้านบาทนั่นเอง
หรืออาจจะใช้กระแสเงินสดของบริษ้ทมาประเมินมูลค่าบริษัทเพื่อลงทุนได้ เพราะแม้บริษัทจะไม่มีกำไร แต่หากกระแสเงินสดของธุรกิจยังเป็นบวก ก็นำวิธีประเมินมูลค่าบริษัทแบบ DCF มาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน
โดยวิธีคือ การคาดการณ์กระแสเงินสดสุทธิ ที่บริษัทจะทำได้ในอนาคต แล้วคิดลดกลับมาเป็นมูลค่าปัจจุบัน
และอีกวิธีที่สามารถประเมินมูลค่าสตาร์ตอัปได้
นั่นคือ ประเมินมูลค่าตลาด แล้วคิดว่าบริษัทนั้นจะครองส่วนแบ่งตลาดได้เท่าไรแทน
เช่น ตลาดขนส่งโดยรวม มีมูลค่าอยู่ 100,000 ล้านบาท
โดยสตาร์ตอัปแห่งหนึ่งคาดว่าจะครองส่วนแบ่งตลาดได้ 20% และจะมีอัตรากำไรที่ 10%
ดังนั้น บริษัทจะมีกำไรอยู่ที่ 100,000 x 20% x 10% เท่ากับ 2,000 ล้านบาท
ถ้าเอากำไรไปคูณกับค่า P/E เช่น 15 เท่าของกำไร
สตาร์ตอัปแห่งนี้ จะถูกประเมินมูลค่าบริษัทที่ราว 30,000 ล้านบาท
แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าเราต้องมีข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ รายได้ กระแสเงินสด หรือมูลค่าตลาด ซึ่งไม่มีข้อมูลตรงนี้ออกมาเลยในซีรีส์
ดังนั้นเราจึงไม่รู้แน่ชัดว่านักลงทุนคนนั้น ใช้วิธีประเมินมูลค่าสตาร์ตอัปแบบไหน
แต่ที่แน่ ๆ คือ นักลงทุนคนนั้น พยายามกดดันเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสตาร์ตอัป เป็น 2 เท่า ด้วยจำนวนเงินลงทุนเท่าเดิม
ทำให้สันติตัดสินใจยืนกรานข้อเสนอเดิมที่ 495 ล้านบาท แลกกับหุ้นส่วน 15% นั่นเอง
และอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้สันติตัดสินใจยืนยันแบบเดิม ก็เพราะว่าถ้าให้นักลงทุนถือหุ้นมากถึง 30% จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นรวมกันของทั้งสามคนน้อยลง เหลือ 70%
หรือเกิดภาวะ Dilution effect เกิดผลกระทบที่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิม มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทน้อยลง
แถมยังทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายใหม่คนนี้ มากกว่ารุ่ยเจี๋ย ที่เคยถือหุ้น 30% ซึ่งแน่นอนว่าจะถูก Dilute สัดส่วนการถือหุ้น ให้น้อยลงกว่าเดิมอยู่แล้ว
ทำให้สุดท้าย กลายเป็นว่านักลงทุนรายใหม่ จะกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รองจากสันติคนเดียวเท่านั้น
แต่หากให้นักลงทุนรายใหญ่ ถือหุ้น 15% ทั้งสามคนก็ยังเหลือหุ้นส่วนรวมกัน 85% แถมยังทำให้ทั้งสันติและรุ่ยเจี๋ย ยังถือหุ้นมากกว่านักลงทุน เหมือนเดิม
จะเห็นได้ว่า การให้ใครคนหนึ่งที่เป็น Keyman ในการรวมหุ้นไว้ใหญ่และต้องเกินครึ่งหนึ่งสำคัญมาก เพราะช่วยให้เหล่าผู้ก่อตั้งยังมีอำนาจบริหารในบริษัทต่อได้
แถมยังป้องกันไม่ให้นักลงทุนภายนอก เข้าครอบงำบริษัทได้ง่าย ๆ เพราะเมื่อต้องมีการระดมทุนในหลาย ๆ รอบต่อไป เช่น รอบซีรีส์ A, B, C, D
สัดส่วนการถือหุ้นของผู้ก่อตั้งแต่ละคน ก็จะลดลงเรื่อย ๆ อีก
ซึ่งการมี Keyman ที่ถือหุ้นมากพอ จนทนต่อการ Dilute แต่ละรอบได้ และยังคงเป็นถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการบริหารไปได้พอสมควร นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นแค่บทเรียนธุรกิจส่วนหนึ่งของซีรีส์เท่านั้น
ซึ่งยังมีบทเรียนอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากการประเมินมูลค่ากิจการ และการถือหุ้นในสตาร์ตอัป
ไม่ว่าจะเป็นการทำสงครามธุรกิจ ระบบการทำงานของสตาร์ตอัป อัตราการเผาเงินหรือ Burn Rate ที่แฝงอยู่ในทุกตอนของซีรีส์สงครามส่งด่วน
เรียกได้ว่า นอกจากความสนุกของตัวละครในเรื่องแล้ว ทุกเรื่องราวของแต่ละตอน ยังแทรกความรู้ธุรกิจต่าง ๆ ให้เราได้เรียนรู้กันต่ออีกด้วย..

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

SPONSORED
© 2025 Longtunman. All rights reserved. Privacy Policy.
Blockdit Icon